วันที่ 24 ธันวาคม 2558 ตามที่พนักงานอัยการจังหวัดเกาะสมุย เป็นโจทก์ ยื่นห้อง นาย ซอ ลิน หรือ โซเรน ไม่มีนามสกุล และนายเวพิว หรือ วิน ไม่มีนามสกุล เป็นจำเลยทั้งสองในคดีอาญา หมายเลขดำ ที่ 2040/2557 ของศาลจังหวัดเกาะสมุย วันนี้ศาลจังหวัดเกาะสมุย นัดฟังคำพิพากษาและได้อ่านคำพิพากษาให้โจทก์และจำเลยทั้งสองฟัง สรุปได้คว
ามดังนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ฐานร่วมกันฆ่านายเดวิด วิลเลี่ยม มิลเลอร์ ผู้ตายที่ 1 ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา นางสาวอันน่าห์ วิคตอเรีย วิทเทอร์ริคจ์ หรือฮันน่าห์ วิคเตอเรีย วิทเธอริดจ์ ผู้ตายที่ 2 อันมีลักษณะการโทรมหญิง แล้วร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 2 เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน และจำเลยที่ 2 ลักโทรศัพท์เคลื่อนที่และแว่นตากันแดดของผู้ตายที่ 1 ไปโดยทุจริต เหตุเกิดที่ตำบลเกาะเต่า อำเภอเกาะพงัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91,276,288,289,334,335 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4,5,7,11,12,18,58,62,83 ให้จำเลยที่ 2 คืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 16,000 บาทให้แก่ทายาทของผุ้ตายที่ 1 กับให้คืนโทรศัพท์เคลื่อนที่และจอบของกลางจำเลยที่ 1 ให้การปฎิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหาเป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เห็นว่าจุดที่จำเลยทั้งสองนั่งอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุและสามารถมองเห็นผู้ตายทั้งสองเดินไปยังที่เกิดเหตุได้ แพทย์ตรวจและผ่าศพผู้ตายทั้งสองพบดีเอ็นเอของคนร้ายมากกว่า 1 คน ในช่องคลอดและช่องทวารหนัก ของผู้ตายที่ 2 หลักฐานชิ้นนี้เป็นพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อันเป็นที่ยอมรับทั่วไปตามหลักสากลว่า สามารถพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลได้เป็นอย่างดี ทั้งเป็นพยานหลักฐานที่มีอยู่ เกิดขึ้น และได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนจับกุมจำเลยทั้งสอง ดังนั้น ผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอย่อมสามารถเชื่อมโยงและพิสูจน์ได้ว่าคนร้ายเป็นผู้ใดจากการตรวจวิเคราะห์วัตถุพยานดังกล่าว เปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสองพบว่า ดีเอ็นเอที่ตรวจพบจากคราบอสุจิบริเวณช่องคลอดผู้ตายที่ 2 ตรงกับดีเอ็นเอของจำเลยที่ 2 ส่วนดีเอ็นเอที่ตรวจพบจากคราบอสุจิบริเวณช่องทวารหนักผู้ตายที่ 2 ตรงกับดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสอง รายงานผลการทดสอบเปรียบเทียบดีเอ็นเอของคนร้ายกับดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสอง ตามเอกสาร จ. 12 มีค่าตำแหน่งดีเอ็นเอตรงกันทั้ง 16 ตำแหน่ง จึงสามารถพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลได้อย่างแน่ชัดตามหลักมาตรฐานสากล ส่งผลให้การตรวจพิสูจน์มีน้ำหนักและมีความน่าเชื่อถือได้โดยสนิทใจพยานโจทก์ผู้ทำการตรวจเก็บและนำเนื้อเยื่อของจำเลยทั้งสองส่งตรวจพิสูจน์เบิกความยืนยันว่าได้จัดส่งไปตรวจพิสูจน์ทันทีทันใด ดังนั้นย่อมไม่มีโอกาสที่เจ้าพนักงานตำรวจและแพทย์ผู้ตรวจผ่าศพและนักวิทยาศาสตร์ผู้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของคนร้ายจะสามารถนำอสุจิหรือสารประกอบน้ำอสุจิซึ่งอยู่ในร่างกายส่วนลึกของจำเลยทั้งสองไปใส่ไว้ในช่องคลอดและช่องทวารหนักของผู้ตายที่ 2 ได้ ทั้งโจทก์ยังมีพยานบุคคลยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางของผู้ตายที่ 1 มามอบให้ในช่วงเวลาหลังเกิดเหตุไม่นานอันเป็นหลักฐานยืนยันได้ส่วนหนึ่งว่าจำเลยที่ 2 ย่อมจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุคดีนี้พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาทั้งในส่วนผลการตรวจดีเอ็นเอของจำเลยทั้งสอง ที่ตรงกับดีเอ็นเอของคนร้าย วัตถุพยานของกลางในที่เกิดเหตุ รวมทั้งพยานแวดล้อมกรณีก่อนและหลังเกิดเหตุล้วนมีน้ำหนักพิสูจน์เชื่อมโยงให้เห็นและรับฟังได้อย่างสิ้นสงสัยว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 โดยไม่จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ตามถ้อยคำรับใด ๆของจำเลยทั้งสองในชั้นจับกุมและสอบสวนมารับฟังประกอบแต่อย่างใด ทางนำสืบโจทก์แม้จะไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่าจำเลยคนใดลงมือข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 ก่อนหรือหลัง แต่ได้ความตามคำพยานพันตำรวจเอกนายแพทย์ภวัตว่าที่บาดแผลฉีกขาดมุมล่างของปากช่องคลอดมีเลือดซึมออกมา แสดงว่าขณะผู้ตายที่ 2 ถูกข่มขืนกระทำชำเรานั้น ผู้ตายที่ 2 ยังมีชีวิตอยู่ และบาดแผลฉีกขาดดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนบาดแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะซึ่งทำให้เสียชีวิตในทันที เมื่อผลการตรวจพิสูจน์ยืนยันเป็นที่แน่ชัดแล้่วว่า จำเลยทั้งสองข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 จนจำเลยทั้งสองสำเร็จความใคร่ ทั้งยังมีพฤติการณ์และลักษณะว่าได้มีการสมคบคิดกันมาก่อนในการร่วมกันผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภริยาตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงเมื่อพิจารณาลักษณะบาดแผลที่ศีรษะและใบหน้าของผู้ตายที่ 2 พบว่าล้วนเป็นบาดแผลฉกรรจ์และมีลักษณะที่เข้ารอยกันได้กับใบจอบและสันจอบของกลาง ทั้งยังมีการตรวจพบคราบโลหิตของผู้ตายที่ 2 ติดอยู่ที่จอบของกลาง ยิ่งทำให้ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เลยว่าจอบของกลาง จะมิใช่อาวุธที่ใช้ในการทำร้ายผู้ตายที่ 2 บาดแผลฉกรรจ์ที่ใบหน้าเกิดขึ้นหลังบาดแผลฉีกขาดขณะถูกข่มขืนกระทำชำเรา ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้เห็นได้ในประการต่อมาว่าภายหลังผู้ตายที่ 2 ถูกข่มขืนกระทำชำเราในที่เกิดเหตุก็ถูกทำร้ายด้วยจอบของกลางจนเสียชีวิต อันเป็นพฤติการณ์ที่ต่อเนื่องและเชื่อมโยงให้เห็นได้อย่างใกล้ชิด จนไม่อาจฟังเป็นอย่างอื่นได้นอกจากจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายใช้จอบของกลางเป็นอาวุธทุบตีและฟันผู้ตายที่ 2 ในที่เกิดเหตุพฤติการณ์แห่งคดีรับฟังได้ว่า หลังจากจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 แล้วจำเลยทั้งสองได้ใช้จอบของกลางซึ่งเป็นวัตถุของแข็งมีคมขนาดใหญ่ ตีและฟันผู้ตายที่ 2 หลายครั้ง จนเป็นแผลฉีกขาดลึกถึงฐานสมอง และกระดูกหน้าผากเบ้าตาซ้ายแตกยุบผิดรูป บ่งชี้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้จอบของกลางกระหน่ำตีผู้ตายทั้ง 2 อย่างสุดแรง ทำให้ผู้ตายที่ 2 เสียชีวิตอันเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่า ผู้ตายที่ 2 เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ตามทางนำสืบโจทก์ปรากฏว่าผู้ตายที่ 1 ถูกทำร้ายในที่เกิดเหตุในช่วงเวลาไล่เลี่ยแทบจะพร้อมไปในคราวเดียวกับผู้ตายที่ 2 จนเป็นเหตุให้ผู้ตายที่ 1 เสียชีวิต ลักษณะบาดแผลบนศพผู้ตายที่ 1 ไม่ขัดแย้งและยังเข้ารอยกันได้กับจอบของกลาง นับเป็นพฤติการณ์ที่เห็นอยู่ในตัวว่าจำเลยทั้งสองใช้จอบของกลางเป็นอาวุธในการทำร้ายผู้ตายที่ 1 เพื่อความสะดวกในการข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 อันเป็นการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 1 ตามฟ้องสำหรับข้อหาจำเลยที่ 1 เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามคำฟ้องข้อ 1.1 และข้อ 1.2 ทางนำสืบโจทก์ ไม่มีพยานหลักฐานใด ๆมาสืบแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้ามาและอยู่ราชอาณาจักรในช่วงเวลาตามคำฟ้อง และจำเลยที่ 1 ก็มีหนังสือเดินทางมาแสดง กรณีไม่อาจนำข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของจำเลยที่ 1 มารับฟัง ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดทั้งสองข้อหานี้ได้ สำหรับข้อหาจำเลยที่2 เป็นคนร้ายลักทรัพย์ในเวลากลางคืนนั้น โจทก์มีพยานบุคคลยืนยันได้ว่าหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 2 นำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางมามอบให้พยานโดยอ้างว่าชาวต่างชาติลืมไว้ที่ร้าน ประกอบกับมีพยานเบิกความยืนยันว่าในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพว่าหลังจากทำร้ายและข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 ได้หยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่และแว่นตากันแดดของผู้ตายที่ 1 ไป เมื่อพฤติการณ์ในคดีรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายร่วมเข้าไปทำร้ายผู้ตายที่ 1 ในที่เกิดเหตุ เช่นนี้จำเลยที่ 2 ย่อมมีโอกาสหยิบลักเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตายที่ 1 ไปจากที่เกิดเหตุได้ไม่ยากอย่างไรก็ตามโจทก์ไม่สามารถยึดแว่นตากันแดด ของผู้ตายที่ 1 มาเป็นของกลาง ทั้งไม่มีพยานใดยืนยันว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องในการยึดถือครอบครองแว่นตากันแดด ภายหลังเกิดเหตุรูปคดีคงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2 ลักเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางไปโดยทุจริตเท่านั้น ข้ออ้างเถียงของจำเลยทั้งสองทั้งเรื่องรายงานผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ เรื่องล่ามภาษาพม่า การจัดหาทนายความชั้นสอบสวน หรือข้ออ้างที่ว่าจำเลยทั้งสองถูกทำร้ายร่างกายและถูกทรมานเพื่อบังคับให้รับสารภาพในชั้นจับกุมนั้น จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานใด ๆ มานำสืบให้รับฟังได้ตามที่อ้าง มีลักษณะเป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งมิใช่ข้อสาระสำคัญอันจะทำให้พยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอไม่มีน้ำหนักหรือส่งผลให้คำวินิจฉัยของศาลต้องเปลี่ยนแปลงไป พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ลักโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางของผู้ตายที่ 1 ไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นละเมิด จำต้องคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์แก่ทายาทของผู้ตายที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคสองพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289(7),276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่ 2 ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ( 1 ) วรรคแรก และพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 12(1) ,18 วรรคสอง ,62 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้โทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 1 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายที่ 2 เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงอื่นที่มิใช่ภริยาตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 20 ปี ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ผ่านช่องทางและเวลาตามกฎหมาย ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง มิได้ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันจึงให้ลงโทษฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นคนต่างด้าวเข้ามา ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งส่วนถ้อยคำรับชั้นจับกุมในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การสืบสวนจนสามารถยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางได้ เห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 เดือน ฐานเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 เดือน เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสองแล้ว ก็ไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นของจำเลยทั้งสองมารวมอีกได้ คงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสองสถานเดียว ให้คืนจอบของกลางแก่เจ้าของ กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ราคาโทรศัพทืเคลื่อนที่ของกลาง 15,000 บาท แก่ทายาทของผู้ตายที่ 1 ข้อหาและคำของอื่นนอกจากนี้ให้ยก”
อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv/main/content/crime/378482691/
เปิดคำพิพากษาฉบับเต็มคดีเกาะเต่า
Facebook Comments