คำพิพากษาฉบับเต็ม
ดาว์นโหลดคำพิพากษา
ศาลฎีกา พิพากษายืน ยกฟ้อง คดีอุ้ม ทนายสมชาย นีละไพจิตร ชี้ พยานให้การสับสน ส่วนพยานเอกสารข้อมูลใช้โทรศัพท์ระหว่างจำเลย ขณะเกิดเหตุ รับฟังไม่ได้ ขาดความสมบูรณ์ที่ห้องพิจารณา 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 29 ธ.ค.58 เวลา 09.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีอุ้มนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน หมายเลขดำ ด.1952/2547 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 และนางอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของนายสมชาย และบุตรรวม 5 คน ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ต.เงิน ทองสุก อดีต สว.กอ.รมน.ช่วยราชการกองปราบปราม ( ขณะนี้หายสาบสูญ) , พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อายุ 46 ปี อดีตพนักงานสอบสวน กก.4 ป.,จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อายุ 44 ปี อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน แผนก 4 กก.2 บก.ทท.,ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อายุ 42 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน อายุ 49 ปี อดีตรอง ผกก.3 ป. ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น นภันต์วุฒิ ดำรงตำแหน่ง พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ ผกก.ฝอ.สพ. จำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพโดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ 391โดยอัยการ ยื่นฟ้อง เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.47 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค.47 จำเลยทั้งห้ากับพวก ร่วมกันปล้นทรัพย์ของนายสมชาย ผู้เสียหายซึ่งหายตัวไป และลักทรัพย์เอารถยนต์ หมายเลขทะเบียน ภง 6768-กรุงเทพฯ,นาฬิกาข้อมือยี่ห้อโรเล็กซ์ 1 เรือน,ปากกายี่ห้อ มองบลังค์ 1 ด้าม และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง รวมราคาทรัพย์ทั้งสิ้น 903,460 บาท โดยพวกจำเลยได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ผลักและฉุดกระชากตัวนายสมชาย ให้เข้าไปในรถยนต์ของจำเลยทั้งห้า แล้วจับตัวพาไปซึ่งจนถึงขณะนี้ ไม่ทราบว่า นายสมชาย จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ต่อมาวันที่ 16 มี.ค.47 พนักงานสอบสวนยึดรถยนต์ของนายสมชาย ผู้เสียหาย ที่ถูกจำเลยทั้งห้า ร่วมกันปล้นทรัพย์ไปดังกล่าว เป็นของกลาง ต่อมาวันที่ 8 เม.ย.47 จำเลยที่ 1-4 เข้ามอบตัว และวันที่ 30 เม.ย.47 จำเลยที่ 5 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งห้า ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ขณะที่ระหว่างพิจารณานางอังคณา ภรรยาและบุตรของนายสมาชย รวม 5 คน ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีขณะที่ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ม.ค.49 ว่า การกระทำของ พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 เป็นความผิดตาม ม.309 วรรคแรก และ ม.391 พิพากษาให้จำคุก 3 ปี ส่วนความผิดฐานปล้นทรัพย์แม้ข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกขับรถนายสมชายไปจอดทิ้งไว้ที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 ก็เพื่ออำพรางหลบหลีกการสืบสวนจับกุม ไม่แสดงให้เห็นเจตนาว่า พวกจำเลยประสงค์ต่อทรัพย์ ส่วนทรัพย์สินอื่นก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 1 กับพวกได้นำทรัพย์สินไปจริงหรือไม่ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ สำหรับจำเลยที่ 2-5 พิพากษายกฟ้องต่อมาอัยการโจทก์ และภรรยากับบุตรของนายสมชาย โจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลยด้วย และ พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 11 มี.ค.54 โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยที่ 2-5 ตามศาลชั้นต้น ส่วน พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำให้การของพยานโจทก์ ยังสับสนเรื่องการยืนยันตัวจำเลย เมื่อมีเหตุความสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยที่ 1 จึงพิพากษาแก้เป็นยกฟ้อง พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 ด้วย ซึ่งระหว่างอุทธรณ์นี้ ศาลได้ออกหมายจับ พ.ต.ต.เงิน พร้อมสั่งปรับนายประกันจำเลย จำนวน 1.5 ล้านบาท ไว้ เนื่องจากจำเลยไม่มาศาลตามนัด และศาลอุทธรณ์ ยังมีคำสั่งให้ยกคำร้อง การขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมของนางอังคณา ภรรยาและบุตร ตามที่ฝ่ายจำเลย ได้ยื่นคำร้องคัดค้านด้วย โดยศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดียังไม่ชัดเจนว่านายสมชาย จะเสียชีวิตแล้วหรือไม่ ภรรยาและบุตร จึงไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีและไม่มีสิทธิเป็นโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.5 (2)
ภายหลังอัยการโจทก์ และภรรยากับบุตรของนายสมชาย ยื่นฎีกาขอให้ลงโทษจำเลย และการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดี ซึ่งขณะที่ฎีกา ในส่วนของ พ.ต.ต.เงิน จำเลยที่ 1 ปรากฏว่า ได้มีการประกาศคำสั่งศาลจังหวัดปทุมธานีลงราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 17 พ.ค.55เรื่องให้เป็นคนสาบสูญ ซึ่งทนายความและครอบครัวของ พ.ต.ต.เงิน มีข้อมูลว่า พ.ต.ต.เงิน ได้หายสาบสูญ ช่วงวันที่ 19 ก.ย. 51 จากเหตุการณ์คันกันน้ำถล่มที่เขื่อนแควน้อย จ.พิษณุโลก โดยมีการยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดปทุมธานี ที่เป็นพื้นที่ซึ่งพ.ต.ต.เงิน มีภูมิลำเนาพักอาศัย และศาลได้ไต่สวนแล้ว พ.ต.ต.เงิน ได้จากภูมิลำเนา เป็นเวลา 2 ปีแล้ว และไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร จึงมีคำสั่งให้ พ.ต.ต.เงิน เป็นคนสาบสูญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.61 (3 )ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว การฎีกาขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลเห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดียังไม่ชัดเจนว่านายสมชาย ถูกทำร้ายหรือกระทำการต่อชีวิตที่จะได้รับบาดเจ็บหรือจนกระทั่งเสียชีวิต ดังนั้น นางอังคณา ภรรยาและบุตรของนายสมชาย จึงไม่ใช่ผู้ที่จะเข้าขอเป็นโจทก์ร่วมได้ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) และไม่มีอำนาจยื่นฎีกาคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ฎีกาของอัยการโจทก์ว่าจำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำผิดหรือไม่ ซึ่งโจทก์นำสืบถึงมูลเหตุจูงใจของจำเลยทั้งห้าว่า สืบเนื่องจากนายสมชายได้เข้าให้ความช่วยเหลือทางคดีเกี่ยวกับความมั่นคงกับกลุ่มผู้ต้องหา 5 รายในเหตุการณ์ปล้นอาวุธปืนและก่อเหตุความไม่สงบภาคใต้เมื่อปี 2547 โดยนายสมชายได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อผบ.ตร.กรณีที่ผู้ต้องหาระบุว่า ถูกพวกทำร้ายร่างกายเพื่อกลับคำให้การ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งห้าไม่ได้พบหรือเคยเห็นนายสมชายมาก่อน ขณะที่การทำหนังสือร้องเรียนนั้นก็ฟังได้ว่านายสมชายไม่ใช่ผู้ลงชื่อในหนังสือโดยตรง ดังนั้น จึงยังฟังไม่ได้ว่าพวกจำเลยจะรู้ว่านายสมชายเป็นผู้ลงลายมือชื่อในหนังสือเพื่อยื่นเรื่องร้องเรียน ขณะที่พยานบุคคล 5 ปาก ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่เห็นนายสมชายเป็นครั้งสุดท้ายบริเวณ ถ.รามคำแหง แม้เป็นประจักษ์พยาน แต่คำให้การในชั้นสอบสวนในหลายประเด็นยังมีข้อพิรุธขัดแย้งกับความเป็นจริง และคำเบิกความในชั้นศาลทั้งในเรื่องความสว่างของแสงไฟ ระยะการมองเห็นที่ทำให้เกิดความสับสน ซึ่งพยานบางปากให้การสับสนระหว่างจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ที่มีการระบุว่าเป็นผู้ขับรถยนต์ของนายสมชายไป โดยส่วนใหญ่พยานจะให้การทำนองเดียวกันว่าเห็นคนร้าย 3-4 คนยื้อยุดฉุดกระชากกัน แต่ไม่ให้ความสนใจมากนัก กระทั่งทราบข่าวภายหลังว่านายสมชายหายตัวไป จึงได้มาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งช่วงเวลาเกิดเหตุที่จะมองเห็นเพียงไม่ถึงนาที รวมทั้งปัญหาแสงไฟ อาจทำให้ไม่ชัดเจนเพียงพอ โดยลักษณะเด่นของจำเลยที่โจทก์นำสืบว่าบางคนขาวสูงคล้ายคนจีน ก็ไม่ใช่ลักษณะเด่น แต่เป็นลักษณะทั่วไป อีกทั้งคำเบิกความของพยานในชั้นศาลก็ไม่ได้ยืนยันชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นคนร้าย และที่โจทก์นำสืบว่าได้ทราบถึงการพูดคุยของจำเลย เพื่อจะทำร้ายนายสมชายก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้นำนายตำรวจที่ทราบถึงประเด็นดังกล่าวมานำสืบให้ชัดแจ้งส่วนพยานเอกสารที่เป็นข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของจำเลยทั้งห้า ที่มีการตรวจสอบเน้นในเกิดเหตุวันที่ 12 มี.ค.47 ตั้งแต่เวลา 07.00-21.00 น. และมีการจัดทำพิกัดพื้นที่การใช้โทรศัพท์นั้น ที่โจทก์นำสืบว่ามีการติดต่อโทรศัพท์ระหว่างจำเลยมากผิดปกติถึง 75 ครั้ง แสดงให้เห็นถึงการเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหว สะกดรอยตามนายสมชายโดยตลอด โดยมีพยานซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนจัดทำข้อมูลมาเบิกความว่า ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ส่วนหนึ่งได้จากการที่ผู้ช่วย ผบ.ตร.ประสานกับผู้ให้บริการโทรศัพท์ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏจากทางนำสืบพยานโจทก์ว่า ผู้ช่วย ผบ.ตร.ไม่ได้เป็นผู้บันทึกข้อมูลการใช้โทรศัพท์ด้วยตนเอง แต่เป็นกรณีที่ได้รับข้อมูลเป็นเอกสาร ซึ่งถึงเป็นเพียงพยานบอกเล่ามาเท่านั้น อีกทั้งเอกสารนั้นเป็นเพียงสำเนา ไม่ได้มีการรับรองผู้จัดทำโดยตรง ดังนั้น พยานดังกล่าวจึงถือว่าเป็นเอกสารที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 238 ที่จะอ้างเป็นพยาน ข้อกล่าวอ้างของโจทก์จึงเลื่อนลอย ยังไม่อาจนำมาพิสูจน์ความผิดของจำเลยทั้งห้าได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืนผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้นางอังคณา และบุตรสาวได้เป็นตัวแทนของครอบครัว นีละไพจิตร เดินทางมาฟังคำพิพากษา ขณะที่มีสื่อมวลชนต่างประเทศและนักต่อสู้ด้านสิทธิมนุษยชนจำนวนหนึ่งมาติดตามผลคำพิพากษาด้วย หลังจากที่นายสมชายหายตัวไป 11 ปี 9 เดือน ภายหลังฟังคำพิพากษายกฟ้อง นางอังคณา ก็มีสีหน้าเรียบเฉยส่วนจำเลย วันนี้ เดินทางมามาศาลเพื่อฟังคำตัดสินทั้งสิ้น 4 คน คือ พ.ต.อ.นภันต์วุฒิหรือชัดชัย เลี่ยมสงวน , พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ อดีตพนักงานสอบสวน กก.4 ป. , จ.ส.ต.ชัยเวง พาด้วง อดีต ผบ.หมู่งานสืบสวน แผนก 4 กก.2 บก.ทท. และ ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต อายุ 42 ปี อดีตเจ้าหน้าที่ธุรการ กก.4 ป. โดยทั้งหมดเดินทางกลับทันที ไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ ส่วน พ.ต.ต.เงิน ทองสุก จำเลยที่ 1 ได้หายสาบสูญไปตั้งแต่ปี 2551″
อ่านต่อที่: http://www.nationtv.tv