ปัญหาว่าการให้ข้อมูลของจำเลยในลักษณะใดจึงจะเป็นผลให้จำเลยได้รับประโยชน์ จากการลดโทษตามมาตรา 100/2 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ
ศาลฎีกาบางแนววางหลักไว้ว่าจำเลยเพียงแต่ให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับการกระทำความ ผิดของตนเองก็ถือว่าเป็นการเพียงพอแล้ว (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1361/2549,5856/2549,526/2551)
บางแนวศาลฎีกาวางหลักว่าต้องเป็นการให้ข้อมูลที่นอกเหนือไปจากการกระทำความ ผิดของตนเองหรือ อีกนัยหนึ่งก็คือต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดของผู้อื่น (คำพิพากษาฎีกาที่ 1487/2550, 2495/2550,2769/2550,6047/2550,6804/2550) ตัวอย่างคำพิพากษาฎีก่แนบท้าย
การตีความของศาลฎีกาในคดีสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการบัญญัติมาตรา 100/2 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ ที่ต้องการจะทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดซึ่งจะได้ผลก็ต่อเมื่อการให้ ข้อมูลของผู้กระทำความผิด ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถที่จะไปตามจับกุมผู้กระทำผิดรายอื่นซึ่งเป็น รายที่ใหญ่กว่า (ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาฎีกาที่หมายเหตุก็เป็นไปในแนวทางดังกล่าว เพราะในขณะที่จำเลยมียาเสพติดจำนวน 2,000 เม็ด แต่ให้ข้อมูลและจับกุมผู้กระทำความผิดอื่น ซึ่งมียาเสพติดจำนวน 20,200 เม็ด) นอกจากนี้การตีความของศาลฎีกาในคดีนี้ยังทำให้จุดแบ่งแยกระหว่างการลดโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กับการลดโทษตามมาตรา 100/2 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มีความชัดเจนกล่าวคือ
หากจำเลยให้การรับสารภาพและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดของตนเอง เท่านั้น จำเลยก็จะได้รับการลดโทษตามมาตรา 78 ประมวลกฎหมายอาญาแต่ไม่ใช่ตามาตรา 100/2 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ
ในประเด็นปัญหาข้อกฎหมายลักษณะเดียวกันการที่ศาลฎีกาตีความแตกต่างกันไป นั้น ย่อมทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการบังคับใช้กฎหมาย ประเด็นปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวจึงน่าจะถูกหยิบยกเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ ศาลฎีกาเพื่อให้การตีความข้อกฎหมายของศาลฎีกาในปัญหาดังกล่าวไปในแนวทาง เดียวกัน
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7872/2551
พนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี โจทก์
นาย ส. จำเลย
พ.ร.บ.ยาเสติดให้โทษ (มาตรา 100/2)
เหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยและพบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่บริเวณบ้าน ของจำเลยก็เพราะเจ้าพนักงานตำรวจจับ ส. ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด นาย ส. ให้การว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลย และจำเลยยังมีเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่บ้าน เจ้าพนักงานตำรวจจึงไปจับจำเลยและพบเมทแอมเฟตามีน เมื่อเมทแอมเฟตามีนอยู่ภายในบ้านของจำเลย และถูกฝังอยู่ใต้ดินในลักษณะมิดชิด ทั้งพยานโจทก์ก็ยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ขุดดินนำกล่องบรรจุเมทแอมเฟตามีนขึ้น มา จึงเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ฝังไว้ พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้มั่นคงว่า จำเลยกระทำความผิดจริง อย่างไรก็ตาม จำเลยให้การด้วยว่า นำเมทแอมเฟตามีนมาจาก ม. เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจไปจับ ม. และยึดเมทแอมเฟตามีนได้เป็นจำนวนมากถึง 20,200 เม็ด นับได้ว่าจำเลยให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ มาตรา 100/2 ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมายได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15,66,100/1,102 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พงศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคท้าย ให้จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 กรณีกักขังแทนค่าปรับมิให้กักขังเกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันที่ 1 ธันวาคม 2548 เวลาประมาณ 6 นาฬิกา พันตำรวจโทแทน บุรีภักดี ดาบตำรวจกรุงไกร ไล้อ่วม เจ้าพนักงานตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี กับพวกร่วมกันจับนาย ส. และยึดเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด เป็นของกลางได้ที่ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี นาย ส.ให้การว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวรับมาจากจำเลยและจำเลยยังมีเมทแอมเฟตามีน อีก 2,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ที่บ้าน รอส่งให้ลูกค้า ซึ่งอยู่จังหวัดอ่างทอง ในเวลา 9 นาฬิกา ดาบตำรวจกรุงไกร สิบตำรวจเอกพิทักษ์ อำไพ และพันตำรวจโทแทนกันพวกไปที่บ้านจำเลย ขุดพบกล่องใส่โทรศัพท์มือถือที่ฝังอยู่ในดินอยู่ในบริเวณบ้านจำเลย ภายในมีเมทแอมเฟตามีน 2,000 เม็ด แยกบรรจุในถุงพลาสติกสีฟ้าเข้ม ปากถุงมีที่กดเปิดปิด 10 ถุง ถุงละ 200 เม็ด แต่ละถุงมีเม็ดสีเขียว 2 เม็ด นอกนั้นเป็นเม็ดสีส้ม ถุงพลาสติกดังกล่าวห่อด้วยกระดาษสาชุบเทียนไข และใส่อยู่ในถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง ชั้นจับกุมทำบันทึกการจับกุมระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพว่า มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จากนั้นพันตำรวจโทแทนกับพวกจึงไปตรวจค้นบ้าน นาย ม.พบเมทแอมเฟตามีนอีก 20,200 เม็ด
มีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยและพบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่บริเวณ บ้านของจำเลยก็เพราะตำรวจจับ นาย ส.ได้พร้อมเมทแอมเฟาตามีน 20 เม็ด นาย ส. ให้การว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนมาจากจำเลย และจำเลยยังมีเมทแอมเฟตามีนอยู่ภายในบริเวณบ้านของจำเลย และถูกฝังอยู่ใต้ดินในลักษณะมิดชิดทั้งพยานโจทก์ปากดาบตำรวจกรุงไกร และพันตำรวจโทแทนยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ขุดดินนำกล่องบรรจุเมทแอมเฟตามีนขึ้น มา น่าเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะหากจำเลยมิได้ขุดดินบริเวณที่ฝังเมทแอมเฟตามีนไว้ เจ้าพนักงานตำรวจคงไม่ทราบ จึงเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ฝังไว้ พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้มั่นคงว่า จำเลยกระทำความผิดจริง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ตามจำเลยให้การด้วยว่า นำเมทแอมเฟตามีนมาจากนาย ม.เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจไปจับนาย ม.และยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวนมากถึง 20,200 เม็ด นับได้ว่าจำเลยให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมายได้
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 100/2 ให้จำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 กรณีกักขังแทนค่าปรับมิให้เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
มีปัญหาเกี่ยวกับคดียาเสพติดปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
0999170039