Home กฎหมาย-ฎีกาน่ารู้ เจ้าของรวมที่ดินปลูกบ้าน ในที่ดินกรรมสิทธิรวมที่ไม่ได้แบ่งแยก เจ้าของรวมคนอื่นฟ้องขับไล่ได้หรือไม่

เจ้าของรวมที่ดินปลูกบ้าน ในที่ดินกรรมสิทธิรวมที่ไม่ได้แบ่งแยก เจ้าของรวมคนอื่นฟ้องขับไล่ได้หรือไม่

13899

dddd

คำถาม
เจ้าของรวมที่ดินปลูกบ้าน ในที่ดินกรรมสิทธิรวม เจ้าของรวมคนอื่นฟ้องขับไล่ได้หรือไม่

ตำตอบ

เคยมีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7662/2546

โจทก์ฟ้องว่า เดิมนางขาว บำรุง และผู้อื่นอีกหลายคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 4687 โดยแยกกันครอบครองเป็นส่วนสัด ต่อมาโจทก์ นางสาวประภาบำรุง นางสาวนาตยา บำรุง ซึ่งเป็นน้องสาวโจทก์ และว่าที่เรือโทประคอง บำรุงได้รับมรดกที่ดินเฉพาะส่วนของนางขาวโดยว่าที่เรือโทประคองได้ที่ดินเป็นส่วนสัดเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งานที่เหลือเป็นของโจทก์และน้องสาว เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2539 จำเลยขออาศัยที่ดินส่วนของโจทก์และน้องสาวปลูกบ้านอยู่อาศัยเนื้อที่ประมาณ 40 ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินพิพาท ต่อมาประมาณเดือนมิถุนายน 2540 จำเลยจะแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อาศัยอีกต่อไป และได้แจ้งให้จำเลยออกไป แต่จำเลยไม่ยินยอมที่ดินพิพาทโจทก์อาจหาประโยชน์ได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 10,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยรื้อบ้านและสิ่งปลูกสร้างแล้วขนย้ายออกไปจากที่ดินส่วนของโจทก์กับพวกในโฉนดที่ดินเลขที่ 4687 ตำบลไทรน้อย (ทวีวัฒนา) อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างแล้วขนย้ายออกไปจากที่ดินส่วนของโจทก์กับพวก

จำเลยให้การว่า ที่ดินเฉพาะส่วนที่โจทก์มีกรรมสิทธิ์รวมกับน้องสาวและว่าที่เรือโทประคอง (ปัจจุบันคือนาวาโทศักดิ์สิทธิ์) ไม่ได้ระบุส่วนสัดการถือครองของแต่ละบุคคลจำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนาวาโทศักดิ์สิทธิด้วยความยินยอมของนาวาโทศักดิ์สิทธิ์ซึ่งบิดามารดาโจทก์ก็ทราบ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาทบริเวณกรอบสีม่วงตามแผนที่เอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 4687 ตำบลไทรน้อย (ทวีวัฒนา) อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 ตุลาคม 2540) จนกว่าจะรื้อถอนและขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาท

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นควรวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยก่อนว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ ซึ่งในปัญหาข้อนี้จำเลยรับในฎีกาของจำเลยว่า นาวาโทศักดิ์สิทธิ์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ นางสาวประภาและนางสาวนาตยาในที่ดินพิพาทโดยยังไม่ได้แบ่งแยกการครอบครองออกเป็นส่วนสัด การที่นาวาโทศักดิ์สิทธิ์อนุญาตให้จำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาทเป็นการใช้สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมจำเลยจึงมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทได้ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ มีสิทธิใช้ทรัพย์สินได้ แต่การใช้นั้นต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ” ดังนั้น ถึงแม้จะฟังว่ายังไม่มีการแบ่งแยกการครอบครองออกเป็นส่วนสัดในที่ดินกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์ นางสาวประภานางสาวนาตยาและนาวาโทศักดิ์สิทธิ์ตามข้อต่อสู้ของจำเลย แต่การใช้ทรัพย์สินกรรมสิทธิ์รวมของนาวาโทศักดิ์สิทธิ์ต้องเป็นการใช้ทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตนเองการที่นาวาโทศักดิ์สิทธิ์อนุญาตให้จำเลยใช้ปลูกบ้าน นอกจากจะมิใช่เป็นการใช้ทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตนเองตามสภาพปกติแล้วยังเป็นการใช้ที่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ จึงไม่มีสิทธิทำได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”

พิพากษายืน

สรุป
 การใช้ที่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ จึงไม่มีสิทธิทำได้ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทได้

มีปัญหาปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาพิพาทปรึกษาทนายกฤษดา
0999170039
IMG_0548-0

Facebook Comments