หลายๆครั้งที่คนเรามีปัญหา ทะเลาะตบตีชกต่อยและขึ้นศาลดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา หากมีการดำเนินคดีอาญาแล้วต่อมามีการฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกันอีก หากพิสูจน์ได้ว่าสมัครใจทะเลาะวิวาท อันทำให้ไม่ใช้ผู้เสียหายที่มีสิทธิฟ้องคดีแล้ว สามารถมาฟ้องคดีแพ่งในข้อหาละเมิดได้หรือไม่ ทีมงานทนายกฤษดา ขอพาท่านไปหาคำตอบจากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10294/2546
คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนเกิดเหตุโจทก์คดีนี้กับจำเลยที่ 1 และพวกต่างมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และได้มีการด่าว่าโต้เถียงกัน จนในที่สุดได้มีการทำร้ายร่างกายกันจึงเป็นเรื่องสมัครใจวิวาทกัน ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว เมื่อฟังว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 สมัครใจทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายกัน เป็นกรณีที่ต่างฝ่ายต่างสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยยอมรับอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ตนจากการทะเลาะวิวาทนั้น แม้โจทก์ได้รับบาดเจ็บก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1กระทำละเมิดต่อโจทก์
สรุป
ต่างฝ่ายต่างสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยยอมรับอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ตนจากการทะเลาะวิวาทนั้น แม้โจทก์ได้รับบาดเจ็บก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1กระทำละเมิดต่อโจทก์
มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
0891427773 ไลน์ไอดี Lawyers.in.th