คำถาม
แพ้คดีค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร หรือค่าเลี้ยงชีพ ต้องชำระค่าทนายความหรือค่าธรรมเนียมให้ฝ่ายชนะคดีหรือไม่
คำตอบ เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร 4,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยจดทะเบียนรังวัดแบ่งแยกที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่โจทก์ครึ่งหนึง
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 400,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 มีนาคม 2555) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้งสามให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนคนละ 5,000 บาท ต่อเดือน นับแต่วันฟ้องและให้ชำระเพิ่มคนละ 1,000 บาท ต่อเดือน ทุกๆ 2 ปี จนกว่าผู้เยาว์ทั้งสามจะบรรลุนิติภาวะ และให้จำเลยแบ่งสินสมรส คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 37970 เลขที่ดิน1360 ตำบลลำผักชี อำเภอหนองจอก จังหวัดกรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินโฉนดเลขที่ 2570 เลขที่ดิน 3220 ตำบลบางชัน อำเภอมีนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่สามารถแบ่งได้ให้ขายโดยประมูลราคาระหว่างโจทก์กับจำเลยก่อน หากตกลงกันไม่ได้ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 4,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า โจทก์กับจำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยาตั้งแต่ปี 2536 ต่อมาได้จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2541 ตามใบสำคัญการสมรส มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือนายพงศธร เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2539 นายศุภกร เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2540 และเด็กชายศิวกรเกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2542 ตามสูติบัตรต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2549 โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันด้วยความสมัครใจตามใบสำคัญการหย่า และได้ทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการหย่าไว้ตามบันทึก ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีเพียงว่า สมควรกำหนดให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสามเพียงใด โดยจำเลยฎีกาว่า ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูสูงเกินไป สมควรกำหนดให้อัตราคนละ 3,000 บาท ต่อเดือนนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เยาว์ทั้งสามอยู่ในความดูแลของโจทก์ซึ่งเป็นมารดา นอกจากค่าอุปโภคและบริโภคที่ต้องใช้จ่ายร่วมกันแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สำหรับผู้เยาว์แต่ละคนหลายรายการ ได้แก่ ค่าศึกษาเล่าเรียนปีละ 7,000 บาท ค่าเครื่องแบบและอุปกรณ์การเรียน 3,500 บาท ค่าใช้จ่ายอื่น 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายประจำวันวันละ 100 บาท คำนวณแล้วตกประมาณเดือนละ 4,000 บาทต่อคน และตามรายงานแสดงข้อเท็จจริงของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร (มีนบุรี) ได้วิเคราะห์สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับผู้เยาว์ทั้งสามตลอดจนฐานะของโจทก์และจำเลยแล้วเสนอความเห็นว่า ค่าอุปการะเลี้ยงดูที่เหมาะสมควรเป็นอัตราเดือนละ 6,000 บาท ต่อคน และควรให้เพิ่มขึ้นตามวัยและระดับการศึกษาของผู้เยาว์ทั้งสาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อเท็จจริงยังได้ความว่า โจทก์ต้องไปอาศัยและขอความช่วยเหลือจากพี่สาวในการเลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้งสาม ส่วนจำเลยประกอบธุรกิจค้าส่งน้ำแข็งจึงมีฐานะและความเป็นอยู่ดีกว่าโจทก์ เช่นนี้ เมื่อคำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/38 แล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้งสามนับแต่วันหย่าถึงวันฟ้องอัตราคนละ 4,500 บาท ต่อเดือน และนับแต่วันฟ้องอัตราคนละ 5,000 บาท ต่อเดือน โดยให้ชำระเพิ่มคนละ 1,000 บาท ต่อเดือน ทุกๆ 2 ปี จนกว่าผู้เยาว์ทั้งสามจะบรรลุนิติภาวะนั้น นับว่าเหมาะสมและเป็นธรรมแล้ว สำหรับค่าอุปการะเลี้ยงดูก่อนฟ้อง ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบลอย ๆ ว่าเป็นจำนวนสูงถึง 4,500,000 บาท จึงขอให้ยกฟ้องในส่วนนี้นั้น ศาลล่างทั้งสองได้กำหนดให้จำเลยต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้งสามนับแต่วันหย่าถึงวันฟ้องเป็นรายเดือน เดือนละ 4,500 บาท ต่อคน โดยได้หักเงินที่จำเลยโอนเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์และที่ได้ให้บุตรโดยตรง คงให้รับผิดต่อโจทก์อีกเพียง 400,000 บาท นับว่าชอบด้วยเหตุผลแล้ว ฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
สรุป ได้รับการยกเว้น ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 155
ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 155 บัญญัติว่า ในการยื่นคำฟ้องหรือคำร้องตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในคดีครอบครัวเพื่อเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือค่าเลี้ยงชีพให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องชำระค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียม คดีนี้จำเลยอุทธรณ์แต่เฉพาะค่าอุปการะเลี้ยงดูเพียงอย่างเดียว การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 4,000 บาท แทนโจทก์ จึงไม่ชอบ
พิพากษายืน โดยให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 4,000 บาท แทนโจทก์ โดยให้คืนค่าทนายความดังกล่าวแก่จำเลย
มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
0891427773 ไลน์ไอดี Lawyers.in.th