โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินและรื้อถอนเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองภายใน 30 วัน นับแต่ศาลมีคำพิพากษากับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทพร้อมกับรื้อถอนเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินดังกล่าว กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง แต่ไม่ตัดสิทธิคู่ความที่จะไปว่ากล่าวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมนายแจ่ม และนางไกลเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 10142 เนื้อที่ 2 งาน 51.2 ตารางวา ต่อมาวันที่ 5 มีนาคม 2517 บุคคลทั้งสองจดทะเบียนโอนขายให้แก่โจทก์ทั้งสอง นายสมบูรณ์บุตรของนายแจ่มและนางไกลร่วมกับจำเลยซึ่งเป็นภริยาเข้าครอบครองและปลูกสร้างบ้านเลขที่ 29 หมู่ที่ 14 บนที่ดินดังกล่าวคิดเป็นเนื้อที่ 1 งาน 66 ตารางวา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงเป็นของโจทก์ทั้งสอง แต่โจทก์ทั้งสองและจำเลยต่างเข้าใจว่าที่ดินที่จำเลยปลูกสร้างบ้านเป็นที่ดินของจำเลยที่ได้รับการยกให้มาจากนายแจ่มและนางไกลซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับที่ดินโจทก์ทั้งสอง เท่ากับว่าจำเลยสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตซึ่งต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 จำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาดังกล่าว จึงต้องฟังข้อเท็จจริงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามา จำเลยจะยื่นคำแก้ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยครอบครองที่ดินจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหาได้ไม่ หากจำเลยไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว จำเลยจะต้องฎีกาคัดค้านขึ้นมา หาใช่ทำเป็นคำแก้ฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ว่าการสร้างโรงเรือนของจำเลยและนายสมบูรณ์เป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้องและชอบแล้ว แต่การที่หลังจากตรวจสอบแนวเขตที่ดินรู้ว่าจำเลยและนายสมบูรณ์สร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองหาทางออกโดยให้จำเลยและนายสมบูรณ์ทำสัญญาเช่า หรือซื้อที่ดินของโจทก์ทั้งสองหรือขายโรงเรือนให้โจทก์ทั้งสอง แต่จำเลยและนายสมบูรณ์ไม่ตกลง ต้องถือว่าจำเลยและนายสมบูรณ์อยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งสองโดยไม่ชอบ และไม่ยอมออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 นั้น เห็นว่า การพิจารณาว่าบุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาในขณะที่ปลูกสร้างโรงเรือน หากขณะปลูกสร้างโรงเรือนไม่ทราบว่าที่ดินเป็นของบุคคลอื่นก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริต แม้ภายหลังจึงทราบว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่น ก็หาทำให้การกระทำที่สุจริตแต่แรกกลับกลายเป็นไม่สุจริตไปแต่อย่างใด แม้จะได้ความตามที่โจทก์ทั้งสองฎีกาก็ตาม เมื่อกรณีเข้าเงื่อนไขตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแล้ว จะต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยทำให้ที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีค่าเพิ่มขึ้นเพียงใด โจทก์ทั้งสองประมาทเลินเล่อหรือไม่ซึ่งมิได้มีประเด็นในคดีนี้คู่ความจึงมิได้สืบพยานไว้ จึงไม่สามารถวินิจฉัยได้ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง โดยให้โจทก์ทั้งสองกับจำเลยไปว่ากล่าวกันใหม่นั้น จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
สรุป การพิจารณาว่าบุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตหรือไม่นั้นจะต้องพิจารณาในขณะที่ปลูกโรงเรือน หากขณะปลูกสร้างโรงเรือนไม่ทราบว่าที่ดินเป็นของบุคคลอื่นก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริต แม้ภายหลังจึงทราบว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่นก็หาทำให้การกระทำที่สุจริตแต่แรกกลับกลายเป็นไม่สุจริตไปแต่อย่างใด เมื่อกรณีเข้าเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 1310 แล้ว จะต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยทำให้ที่ดินของโจทก์มีค่าเพิ่มขึ้นเพียงใด โจทก์ประมาทเลินเล่อ หรือไม่ ซึ่งมิได้มีประเด็นในคดีนี้คู่ความจึงมิได้สืบพยานไว้จึงไม่สามารถวินิจฉัยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโดยให้โจทก์กับจำเลยไปว่ากล่าวกันใหม่จึงชอบแล้ว
มีปัญหาคดีควมปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
โทร 0891427773 ไลน์ไอดี Lawyers.in.th