คำถาม
วิเคราะห์ หลักการที่ศาลใช้วินิจฉัยเรื่องการมีชู้ และการเรียกค่าทดแทนจากชู้ ศาลพิจารณาจากหลักใดบ้าง
คำตอบ เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาวางหลักเกณฑ์การวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวไว้ดังนี้
คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๙๐/๒๕๖๑
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคําฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจําเลยที่ ๑ หย่าขาว จากกัน โดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อํานาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสาม และให้จําเลยที่ ๑ แบ่งสินสมรส คือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโฉนดเลขที่ ๔๑๓๖๑ กับ ๔๑๓๖๒ และ ห้องชุดเลขที่ ๗๘๐/๘๕ ชั้นที่ ๑๙ อาคารเลขที่ซี ชื่ออาคารชุดศุภาลัย คาซาริวา และให้จําเลยที่ ๒ ใช้ค่าทดแทนเป็นเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐๐บาท แก่โจทก์
ก่อนจําเลยที่ ๑ ยื่นคําให้การ โจทก์ยื่นคําบอกกล่าวขอถอนฟ้องจําเลยที่ ๑ ศาลชั้นต้นอนุญาตและจําหน่ายคดีเฉพาะจําเลยที่ ๑ ออกจากสารบบความ
จําเลยที่ ๒ ให้การและแก้ไขคําให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยที่ ๒ ชําระเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ กับให้ จําเลยที่ ๒ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ ที่โจทก์ชนะคดี โดยกําหนดค่าทนายความให้ ๓,๐๐๐บาท
จําเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียม ชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จําเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติ ตามที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งคัดค้านกันได้ว่า โจทก์กับจําเลยที่ ๑ สมรสกันปี ๒๕๔๓ มีบุตรผู้เยาว์ด้วยกัน ๓ คน เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ จําเลยที่ ๑ บอกโจทก์ว่า จําเลยที่ ๑ ต้องไปพักค้างคืนกับนักเรียนที่โรงเรียนซึ่งจําเลยที่ ๑ ทํางานอยู่ แต่ความจริงจําเลยที่ ๑ ไปเข้าพักที่โรงแรม เอ็ม ๒ เดอ บางกอก ซึ่งอยู่ใกล้บ้านโจทก์ โจทก์ไปที่โรงแรมและโทรศัพท์หาจําเลยที่ ๑ ขอขึ้นไปหาจําเลยที่ ๑ ในห้องพัก แต่จําเลยที่ ๑ ไม่ยอมให้พบและตัดสายโทรศัพท์ ในคืนนั้นจําเลยที่ ๑ ไม่กลับบ้าน โจทก์ค้นหาข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจําเลยที่ ๑ พบว่า จําเลยที่ ๑ เคยจองโรงแรมหลายครั้ง สําหรับโรงแรม เอ็ม ๒ เดอ บางกอก ก็จองเกินกว่า ๒ ครั้ง โดยจําเลยที่ ๑ ส่งข้อมูลเรื่องการจองโรงแรมให้จําเลยที่ ๒ ทราบทางไลน์ตามหลักฐานการจองโรงแรม นอกจากนี้ยังพบภาพถ่ายของจําเลย ทั้งสองที่แสดงความสนิทสนมกันหลายภาพ จําเลยที่ ๑ เคยส่งข้อความทางไลน์
ไปในไลน์ครอบครัวของจําเลยที่ ๑ ระบุข้อความว่า จําเลยที่ ๑ แยกกันกับสามี และตอนนี้จําเลยที่ ๑ มีแฟนใหม่แล้ว หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว โจทก์กับ จําเลยที่ ๑ ตกลงกันได้และไปจดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยที่ ๒ ปัญหาแรกมีว่า จําเลยที่ ๒ ล่วงเกินจําเลยที่ ๑ ในทํานองชู้สาวในระหว่างที่จําเลยที่ ๑ ยังเป็นภริยาโดยชอบ ด้วยกฎหมายของโจทก์ตามคําพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ มาเบิกความยืนยันว่า เมื่อประมาณปลายปี ๒๕๕๖ จําเลยที่ ๑ เริ่มมีพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยไม่ร่วมรับประทานอาหารเย็นพร้อมครอบครัวตามปกติ กลับบ้านดึก บางครั้งไม่กลับมานอนที่บ้านและขอไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน บ่อยครั้ง จนกระทั่งวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ จําเลยที่ ๑ บอกโจทก์ว่าต้องไป นอนค้างคืนกับนักเรียนที่โรงเรียนและจะกลับบ้านวันรุ่งขึ้น แต่ในวันรุ่งขึ้นจําเลยที่ ๑ ไม่กลับบ้าน โดยบอกโจทก์ว่าจะต้องไปนอนค้างกับนักเรียนอีกชุดหนึ่ง โจทก์ ตรวจสอบข้อมูลทางเวปไซต์ของโรงเรียนไม่พบว่ามีนักเรียนไปค้างคืนที่โรงเรียน จึงโทรศัพท์หาจําเลยที่ ๑ จําเลยที่ ๑ ยืนยันว่าจําเลยที่ ๑ อยู่ที่โรงเรียน โจทก์ไป โรงเรียนไม่พบจําเลยที่ ๑ พนักงานรักษาความปลอดภัยแจ้งว่าไม่มีนักเรียนมา นอนค้างที่โรงเรียน โจทก์โทรศัพท์หาจําเลยที่ ๑ จําเลยที่ ๑ บอกว่าจําเลยที่ ๑ อยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแถวเขตหลักสี่ โจทก์ไปที่ห้างสรรพสินค้าดังกล่าวและ โทรศัพท์หาจําเลยที่ ๑ แต่จําเลยที่ ๑ ตัดสายโทรศัพท์ หลังจากนั้นโจทก์พบรถ ของจําเลยที่ ๑ จอดอยู่ที่โรงแรมเอ็ม ๒ เดอ บางกอก โจทก์ไปที่โรงแรมดังกล่าว พนักงานโรงแรมแจ้งว่าจําเลยที่ ๑ อยู่ในห้องพักของโรงแรม โจทก์โทรศัพท์หา จําเลยที่ ๑ เพื่อขอขึ้นไปพบ จําเลยที่ ๑ ไม่ยอมให้พบและตัดสายโทรศัพท์ คืนนั้น จําเลยที่ ๑ ไม่กลับบ้าน โจทก์สงสัยว่าจําเลยที่ ๑ คบหาชายอื่นจึงค้นหาข้อมูล จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจําเลยที่ ๑ ทําให้พบข้อมูล ว่าจําเลยที่ ๑ เคยจองโรงแรมเช่นนี้หลายครั้งและมีการแจ้งเรื่องการจองโรงแรม ให้จําเลยที่ ๒ ทราบ ด้วย ทั้งพบภาพถ่ายของจําเลยทั้งสองที่แสดงให้เห็นถึง ความสนิทสนมกันเกินกว่าความเป็นเพื่อนหลายภาพ ตลอดจนพบว่าจําเลยที่ ๑ ส่งข้อความเข้าไลน์กลุ่มครอบครัวของจําเลยที่ ๑ ว่า จําเลยที่ ๑ เลิกกับสามีและ มีแฟนใหม่แล้ว ต่อมาโจทก์คาดคั้นถามจําเลยที่ ๑ เกี่ยวกับจําเลยที่ ๒ จําเลยที่ ๑ ยอมรับว่า จําเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน โดยบอกว่าภาพจําเลยทั้งสอง ที่โอบกอดและหอมแก้มกัน เป็นภาพที่จําเลยทั้งสองอยู่ด้วยกันสองคนในห้องพัก ของโรงแรมเอวัน ซอยศูนย์วิจัย ถนนเพชรบุรี โจทก์ขอให้จําเลยที่ ๑ ยุติความสัมพันธ์ ดังกล่าวกับจําเลยที่ ๒ แต่ต่อมาจําเลยที่ ๑ ก็ยังคงประพฤติตนเช่นเดิม โจทก์จึง นําเรื่องไปปรึกษานายประกิต ซึ่งเป็นบิดาของจําเลยที่ ๑ นายประกิตบอกโจทก์ว่า นายประกิตพอทราบเรื่องนี้มาบ้างแล้ว และโจทก์มีนายประกิต มาเบิกความว่า เมื่อประมาณ ๓ ถึง ๔ ปี ก่อนพยานมาเบิกความ พยานเริ่มสังเกตเห็นพฤติกรรม ของจําเลยที่ ๑ ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยจําเลยที่ ๑ ออกไปรับประทานอาหารเย็น นอกบ้านคนเดียว สัปดาห์ละ ๓ ถึง ๔ ครั้ง ช่วงแรกกลับบ้านดึก ต่อมาเริ่ม ไม่กลับบ้านและไปนอนค้างที่อื่นบ่อยครั้ง พยานทราบเรื่องจําเลยทั้งสองมี ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันจากบุตรคนอื่นของพยานและญาติพี่น้องซึ่งมาบอก พยานหลายครั้งว่า จําเลยที่ ๑ ส่งภาพจําเลยที่ ๑ กับคนรักใหม่มาให้ดู ต่อมาโจทก์ มาปรึกษาเรื่องนี้กับพยาน พยานแนะนําโจทก์ว่า หากเจรจากันเองไม่สําเร็จ ต้องมาพึ่งศาล แต่บอกให้โจทก์คิดถึงบุตร ส่วนจําเลยที่ ๒ มีตัวจําเลยทั้งสอง มาเบิกความว่า จําเลยทั้งสองเป็นเพื่อนเรียนหนังสือด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษา จําเลยทั้งสองไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันก่อนจําเลยที่ ๑ หย่าขาดจากโจทก์ เหตุที่จําเลยที่ ๑ บอกโจทก์ว่าไปค้างคืนที่โรงเรียนแต่กลับไปอยู่ที่โรงแรมเนื่องจาก จําเลยที่ ๑ มีเรื่องเครียดเพราะวันนั้นมีหญิงคนหนึ่งส่งข้อความมาที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ ของจําเลยที่ ๑ ว่า ตนเป็นภริยาของโจทก์ จําเลยที่ ๑ โทรศัพท์สอบถามโจทก์แล้ว โจทก์บอกว่าไม่จริง วันนั้นจําเลยที่ ๑ อยู่ในห้องพักคนเดียวแต่ไม่พร้อมจะให้โจทก์ ขึ้นไปหาเพราะเกรงว่าจะถูกโจทก์ทําร้ายร่างกาย จําเลยที่ ๑ จําได้ว่า ที่โจทก์นํามา เป็นพยานหลักฐานเป็นภาพหลังจากโจทก์กับจําเลยที่ ๑ หย่ากันแล้ว และข้อความ ที่จําเลยที่ ๑ ส่งเข้าไลน์กลุ่มของครอบครัว ก็เป็นข้อความที่จําเลยที่ ๑ ส่งในปี ๒๕๕๘ หลังจากหย่าแล้วเช่นกัน เห็นว่า นอกจากโจทก์มีตัวโจทก์มาเบิกความยืนยัน ข้อกล่าวอ้างของโจทก์ที่ว่า จําเลยที่ ๒ ล่วงเกินจําเลยที่ ๑ ในทางชู้สาวในระหว่างที่ จําเลยที่ ๑ ยังเป็นภริยาของโจทก์แล้ว โจทก์ยังมีสําเนาข้อมูลเอกสารซึ่งมีข้อความและภาพถ่ายที่สอดคล้องกับคําเบิกความของโจทก์มาเป็นพยานหลักฐานด้วย แม้โจทก์จะเป็นพยานที่มีส่วนได้เสียโดยตรงในผลของคดี แต่เมื่อพิเคราะห์ พฤติกรรมของจําเลยที่ ๑ ตามที่รับฟังเป็นยุติแล้วว่า เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ จําเลยที่ ๑ บอกโจทก์ว่า จําเลยที่ ๑ ต้องไปพักค้างคืนกับนักเรียนที่โรงเรียน ซึ่งจําเลยที่ ๑ ทํางานอยู่ แต่ความจริงจําเลยที่ ๑ ไปเปิดโรงแรมและเข้าพักในห้องพัก ของโรงแรม โจทก์ไปหาที่โรงแรมและโทรศัพท์หาจําเลยที่ ๑ ขอขึ้นไปที่ห้องพัก แต่จําเลยที่ ๑ ไม่ยอมให้พบและตัดสายโทรศัพท์ ทั้งในคืนนั้นจําเลยที่ ๑ ไม่กลับบ้าน อันเป็นพฤติกรรมที่ทําให้โจทก์สงสัยว่าจําเลยที่ ๑ คบหาชายอื่นจึงเป็นพฤติการณ์ ที่มีเหตุผลทําให้โจทก์ไปค้นหาข้อมูลและภาพถ่ายต่าง ๆ ซึ่งเมื่อสิ่งที่พบล้วนเป็น ข้อความและภาพถ่ายที่แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับจําเลยที่ ๒ พยานเอกสาร และภาพถ่ายดังกล่าวย่อมเป็นพยานหลักฐานที่สนับสนุนให้ค้าเบิกความของ โจทก์มีเหตุผลให้รับฟังได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์มีนายประกิต มาเบิกความสนับสนุนคําเบิกความของโจทก์ ทั้ง ๆ ที่นายประกิตเป็นบิดาของ จําเลยที่ ๑ ซึ่งตามปกติย่อมมีความรักและปรารถนาดีต่อบุตรสาวมากกว่าโจทก์ ที่เป็นเพียงบุตรเขย หากข้อกล่าวอ้างของโจทก์ไม่เป็นความจริงนายประกิต ย่อมต้องมาเบิกความช่วยเหลือปกป้องบุตรสาวของตนไม่ใช่สนับสนุนข้อนําสืบ ของโจทก์ การที่นายประกิตมาเบิกความเช่นนี้จึงมีผลทําให้พยานหลักฐานของโจทก์ มีน้ําหนักให้รับฟังยิ่งขึ้น ทั้งจําเลยที่ ๑ ก็เบิกความเจือสมกับพยานหลักฐาน ของโจทก์ว่า จําเลยที่ ๑ มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับชายอื่นตั้งแต่ยังไม่หย่ากับโจทก์ โดยเบิกความตอบทนายจําเลยที่ ๒ ว่า ในความเป็นจริงก่อนที่จําเลยที่ ๑ จะหย่า กับโจทก์ จําเลยที่ ๑ กับโจทก์เคยตกลงที่จะแยกกันอยู่และผู้ใดจะไปมีคนรักก็ได้ เพียงแต่ไม่ได้จดทะเบียนหย่าเป็นลายลักษณ์อักษร และมีข้อแม้เพียงว่าต่างฝ่าย ต่างต้องไม่นําคนรักของตนมาพบบุตรเท่านั้น และยังยอมรับว่าจําเลยที่ ๑ เป็นคน ส่งข้อความที่ระบุว่า จําเลยที่ ๑ มีแฟนใหม่ ซึ่งระบุว่าส่งวันศุกร์ที่ ๒๗ มิถุนายน จริง เพียงแต่เบิกความบ่ายเบี่ยงไปว่า จําได้ว่าส่งข้อความดังกล่าวในปี ๒๕๕๘ ซึ่งขัดแย้งกับวันเวลาในปฏิทินที่ปรากฏว่า วันศุกร์ที่ ๒๗ มิถุนายน ตรงกับวันศุกร์ ของปี ๒๕๕๗ ไม่ใช่ปี ๒๕๕๘ จําเลยที่ ๒ เองก็เบิกความเจือสมกับพยานหลักฐาน
ของโจทก์โดยเบิกความยอมรับว่า ชายในภาพถ่ายที่โอบกอดและใกล้ชิดกับ จําเลยที่ ๑ คือจําเลยที่ ๒ จริง แม้จะบ่ายเบี่ยงไปว่า น่าจะเป็นภาพที่เกิดขึ้นหลังจาก จําเลยที่ ๑ หย่ากับโจทก์แล้ว แต่ก็เพียงเบิกความปฏิเสธลอยๆ ว่าจําไม่ได้ว่าเป็น ภาพที่ถ่ายขึ้นที่ใด น่าจะถ่ายขึ้นเมื่อปี ๒๕๕๗ ส่วนข้อนําสืบของจําเลยทั้งสองที่ว่า จําเลยทั้งสองไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันในระหว่างที่จําเลยที่ ๑ ยังเป็น ภริยาของโจทก์นั้น มีเพียงจําเลยทั้งสองมาเบิกความลอยๆ ไม่มีพยานหลักฐานใด สนับสนุน ทั้งจําเลยทั้งสองยังเบิกความเจือสมข้อนําสืบของโจทก์ดังที่กล่าวมาแล้ว อีกด้วย พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ําหนักมากกว่าพยานของจําเลยที่ ๒ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จําเลยที่ ๒ มีความสัมพันธ์กับจําเลยที่ ๑ ทางชู้สาวอันเป็น การล่วงเกินในทํานองชู้สาวต่อจําเลยที่ ๑ ในขณะที่จําเลยที่ ๑ ยังเป็นภริยาโดยชอบ ด้วยกฎหมายของโจทก์ตามคําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ฎีกาข้อนี้ของจําเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยที่ ๒ ต่อไปมีว่า โจทก์มีสิทธิเรียก ค่าทดแทนจากจําเลยที่ ๒ หรือไม่ โดยจําเลยที่ ๒ ฎีกาว่า การที่โจทก์กับจําเลยที่ ๑ หย่ากันโดยความสมัครใจแล้วมีผลทําให้โจทก์ไม่สามารถเรียกค่าทดแทนจาก จําเลยที่ ๒ ได้ เห็นว่า บทบัญญัติ มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์บัญญัติให้สามีมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากผู้ที่ล่วงเกินภริยา ไปในทางชู้สาวได้ แม้ภริยาสมัครใจหรือยินยอมให้ล่วงเกินไปในทํานองชู้สาว สามีก็มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนตามวรรคสองนี้ได้ เพราะการฟ้องเรียกค่าทดแทน ตามวรรคสองนี้เป็นสิทธิของสามีโดยเฉพาะและสิทธิในการฟ้องของสามีย่อมเกิดขึ้น ตั้งแต่ขณะที่มีการล่วงเกินในทางชู้สาวกัน เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จําเลยที่ ๒ มีความสัมพันธ์กับจําเลยที่ ๑ ทางชู้สาวอันเป็นการล่วงเกินในทางชู้สาวต่อจําเลยที่ ๑ ในขณะที่จําเลยที่ ๑ ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ สิทธิของโจทก์ ตามบทบัญญัติดังกล่าวย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่ขณะที่ยังไม่มีการหย่า แม้ภายหลัง มีการจดทะเบียนหย่ากันแล้ว สิทธิในการฟ้องก็หาได้หมดสภาพ หรือถูกลบล้าง ตามไปด้วยไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจําเลยที่ ๒ ได้ตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจําเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
สรุป
บทบัญญัติ มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง แห่ง ป.พ.พ. ให้สามีมีสิทธิเรียก ค่าทดแทนจากผู้ที่ล่วงเกินภริยาไปในทางชู้สาวได้ แม้กริยาสมัครใจหรือ ยินยอมให้ล่วงเกินไปในทํานองชู้สาว สามีก็มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทน ตามวรรคสองนี้ได้ เพราะการฟ้องเรียกค่าทดแทนตามวรรคสองนี้เป็นสิทธิ ของสามีโดยเฉพาะและสิทธิในการฟ้องของสามีย่อมเกิดขึ้นตั้งแต่ขณะที่มี การล่วงเกินในทางชู้สาวกัน จําเลยที่ ๒ มีความสัมพันธ์กับจําเลยที่ ๑ ทางชู้สาวอันเป็นการล่วงเกินในทางชู้สาวต่อจําเลยที่ ๑ ในขณะที่จําเลยที่ ๑ ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ สิทธิของโจทก์ตามบทบัญญัติ ดังกล่าวย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่ขณะที่ยังไม่มีการหย่า แม้ภายหลังมีการ จดทะเบียนหย่ากันแล้ว สิทธิในการฟ้องก็หาได้หมดสภาพ หรือถูกลบล้าง ตามไปด้วยไม่ โจทก์มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจําเลยที่ ๒ ได้ตามบทบัญญัติ ดังกล่าว
ศาลมองว่าสิทธิเรียกค่าทดแทนเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงจดทะเบียนสมรสแม้ต่อมาภายหลังมีการหย่าสิทธิดังกล่าวไม่สิ้นไป
มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
โทร 0891427773 ไลน์ไอดี Lawyers.in.th