Home คดีอาญา โอนที่ดินโดยมีเจตนาลวง เพื่อให้ญาติหรือเพื่อนนำไปจำนอง สามารถฟ้องขอให้เพิกถอนได้หรือไม่

โอนที่ดินโดยมีเจตนาลวง เพื่อให้ญาติหรือเพื่อนนำไปจำนอง สามารถฟ้องขอให้เพิกถอนได้หรือไม่

5971

โอนที่ดินโดยมีเจตนาลวง เพื่อให้ญาติหรือเพื่อนนำไปจำนอง สามารถฟ้องขอให้เพิกถอนได้หรือไม่

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๖๕๐/๒๕๖๑

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคําฟ้องขอให้บังคับจําเลยทั้งสองร่วมกันไถ่ถอน จํานองที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๕๑๓ เนื้อที่ ๖๘ ตารางวา ของโจทก์ แล้วจดทะเบียน โอนกรรมสิทธิ์คืนโจทก์โดยปลอดจํานองและภาระติดพันใด ๆ โดยให้จําเลยทั้งสอง ร่วมกันออกค่าภาษีอากร ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนทั้งสิ้น พร้อมส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์ หากจําเลยทั้งสองไม่ส่งมอบ ต้นฉบับโฉนดที่ดินคืน ให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินฉบับใหม่แก่โจทก์ หากจําเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของ จําเลยทั้งสอง โดยให้โจทก์ทําการไถ่ถอนจํานองแทนและให้จําเลยทั้งสองชดใช้ เงินค่าไถ่ถอนจํานองพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ ได้ชําระเงินไถ่ถอนจํานองแก่ผู้รับจํานองเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จําเลยทั้งสองร่วมกันขนย้ายทรัพย์สินและบริวารรวมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์ แล้วส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพ เรียบร้อยดังเดิม ห้ามจําเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป และ

ให้จําเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าขาดประโยชน์ในอัตราเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจําเลยทั้งสองจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารรวมทั้ง รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์และส่งมอบที่ดิน คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยดังเดิม

จําเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนไถ่ถอนจํานอง ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๓๔๕๑๓ ให้ปลอดจํานองและภาระติดพันแล้วจดทะเบียน โอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ กับให้ส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ หากจําเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของ จําเลยทั้งสอง ให้โจทก์ดําเนินการไถ่ถอนจํานองและจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท โดยให้จําเลยทั้งสองร่วมกันชําระค่าไถ่ถอนจํานอง ค่าภาษี ค่าธรรมเนียมและ ค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของค่าไถ่ถอนจํานองนับตั้งแต่วันที่โจทก์ชําระเงินให้แก่ผู้รับจํานองเป็นต้นไป จนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ ให้จําเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจําเลยทั้งสองเข้ามาเกี่ยวข้อง กับที่ดินพิพาทอีกต่อไป ให้จําเลยทั้งสองชําระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ อัตราเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘) เป็นต้นไปจนกว่าจําเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาท และส่งมอบ ที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนดค่าทนายความ ๓,000 บาท คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยกจําเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จําเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันชั้นฎีกาฟังได้ว่า โจทก์และจําเลยที่ ๑ เป็นบุตรของนางน้ํา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๔ คน คือ จําเลยที่ ๑ นายสมบูรณ์ นางบัวขาล นายศรีวงค์ และโจทก์ ส่วนจําเลยที่ ๒ เป็นบุตรของจําเลยที่ ๑ เดิมนางนําเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๒๓

ต่อมาใส่ชื่อนายสมบูรณ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ภายหลังแบ่งผูกที่ดินดังกล่าว ออกเป็น ๕ แปลง ให้แก่นายสมบูรณ์และนายศรีวงค์คนละแปลง ส่วนจําเลยที่ ๑ ได้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๕๑๒ โจทก์ได้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๕๑๓ คือที่ดินพิพาท และนางบัวขาลได้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๕๑๔ ที่ดินของนางบัวขาลกับที่ดินของ จําเลยที่ ๑ ดังกล่าวมีแนวเขตติดกับที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ตรงกลาง ต่อมาวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๔ โจทก์มอบอํานาจให้จําเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท ให้แก่จําเลยที่ ๑ และวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔ จําเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท ให้แก่จําเลยที่ ๒ ครั้นวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ จําเลยที่ ๒ นําที่ดินพิพาทไป จดทะเบียนจํานองไว้แก่ธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน)

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยทั้งสองมีว่า โจทก์ขายที่ดินพิพาท ให้แก่จําเลยที่ ๑ แล้วหรือไม่ จําเลยทั้งสองฎีกาว่า เมื่อปี ๒๕๔๒ จําเลยที่ ๒ ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๕๑๔ จากนางบัวขาลเป็นข้อแสดงว่าจําเลยทั้งสองไม่ได้ เดือดร้อนด้านการเงินที่จะต้องยืมที่ดินพิพาทจากโจทก์ไปกู้เงินและจดทะเบียน จํานองไว้แก่ธนาคาร แต่โจทก์เองมีปัญหาเกี่ยวกับร้านอาหารของโจทก์ที่ประเทศ สหรัฐอเมริกา และโจทก์เป็นหนี้จําเลยที่ ๑ จํานวน 900,000 บาท กับเป็นหนี้ นายศรีวงค์จํานวน ๑๕๐,๐๐๐ บาท โจทก์จึงขายที่ดินพิพาทให้แก่จําเลยที่ ๑ โดยส่วนหนึ่งหักกลบลบหนี้กับจําเลยที่ ๑ และที่เป็นหนี้นายศรีวงค์ โดยโจทก์ มีตัวโจทก์เบิกความว่า โจทก์ไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ เมื่อต้นปี ๒๕๔๔ จําเลยทั้งสองจะค้าขายแต่ไม่มีเงินทุนจึงขอยืมที่ดินพิพาท จากโจทก์ไปเป็นหลักประกันกู้เงินจากธนาคาร โดยขอให้โจทก์โอนที่ดินพิพาท ให้แก่จําเลยที่ ๑ เพื่อจดทะเบียนจํานองเป็นประกันหนี้ หากโจทก์ต้องการ ที่ดินพิพาทคืนเมื่อใดจําเลยทั้งสองจะโอนคืนให้ โจทก์เห็นว่าจําเลยทั้งสองเป็น ญาติพี่น้องมีความสนิทสนมกันและจะค้าขายจึงยอมช่วยเหลือ โจทก์ส่งหนังสือ มอบอํานาจจากประเทศสหรัฐอเมริกามาให้จําเลยที่ ๑ ไปโอนที่ดินพิพาทแทน ต่อมาปลายปี ๒๕๕๗ โจทก์จะใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทจึงทวงถามจําเลยทั้งสอง ให้ไถ่ถอนจํานองแล้วคืนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่จําเลยทั้งสองเพิกเฉย และ โจทก์มีนายศรีวงค์ เบิกความเป็นพยานว่า จําเลยที่ ๑ ยืมที่ดินพิพาทจากโจทก์ไปจํานองธนาคารแล้วไม่ยอมคืนให้โจทก์ ส่วนจําเลยที่ ๒ เบิกความว่า เมื่อปี ๒๕๔๒ ร้านอาหารของโจทก์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว โจทก์ขอให้พี่น้องช่วยเหลือจึงตกลงกันขายที่ดินมรดก ๑ แปลง โดยจําเลยที่ ๒ ช่วยติดต่อขายได้เงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์เลี้ยงดูมารดาได้รับส่วนแบ่ง ๒ ส่วน พี่น้องคนอื่นได้คนละ ๑ ส่วน เป็นเงินคนละ ๑๖๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์นําเงิน ค่าที่ดินบางส่วนของจําเลยที่ ๑ และนายศรีวงค์ไปใช้ยังไม่ได้มอบให้จําเลยที่ ๑ จํานวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และนายศรีวงค์จํานวน ๑๕๐,๐๐๐ บาท จําเลยทั้งสองจะ ขยายร้านค้าวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๒ จําเลยที่ ๒ จึงซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๕๑๔ จากนางบัวขาล ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินพิพาท จําเลยทั้งสองเห็นว่าโจทก์อาศัยที่ประเทศ สหรัฐอเมริกาไม่ได้ใช้ประโยชน์ ที่ดินพิพาท จําเลยที่ ๑ ได้ถามซื้อที่ดินพิพาท จากโจทก์ ต่อมาปี ๒๕๕๔ โจทก์ตกลงขายที่ดินพิพาทให้จําเลยที่ ๑ ในราคา ๔๐๐,000 บาท แล้วจําเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทและที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๕๑๒ ให้แก่จําเลยที่ ๒ จากนั้นจําเลยที่ ๒ นําที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว ไปจดทะเบียนจํานองเป็นประกันหนี้ไว้แก่ธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) จํานวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามสารบัญจดทะเบียนด้านหลังสําเนาโฉนดที่ดิน จากนั้น จําเลยที่ ๒ ทําการก่อสร้างอาคารพาณิชย์บนที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว เมื่อโจทก์ กลับมาเยี่ยมบ้านได้พักอาศัยที่อาคารพาณิชย์ด้วย โจทก์เคยทวงถามเงินค่าที่ดิน จากจําเลยที่ ๒ ที่ติดค้างอยู่บางส่วน แต่จําเลยที่ ๒ ยังไม่มีให้ โจทก์ไม่เคยโต้แย้ง เรื่องที่ดินพิพาท และจําเลยทั้งสองมีนางประนอม ภริยาของจําเลยที่ ๒ เป็นพยาน เบิกความว่า พยานและจําเลยที่ ๒ ตกลงรายละเอียดการซื้อขายที่ดินพิพาท กับโจทก์โดยตกลงราคาเป็นเงิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท หักกลบลบหนี้กับส่วนที่โจทก์ ติดค้างจําเลยที่ ๑ จํานวน 9๐๐,๐๐๐ บาท และติดค้างนายศรีวงค์ ๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยให้จําเลยที่ ๒ ออกเงินสร้างบ้านให้นายศรีวงค์เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท แทน ส่วนที่เหลืออีก ๑๕๐,๐๐๐ บาท จําเลยที่ ๒ ตกลงชําระให้โจทก์เมื่อทําการชําระ หนี้ไถ่ถอนจํานองแล้ว เห็นว่า โจทก์มีนายศรีวงค์ น้องชายของจําเลยที่ ๑ และ เป็นพี่ชายของโจทก์มาเบิกความสนับสนุนโจทก์ว่าจําเลยที่ ๑ ยืมที่ดินพิพาท ของโจทก์ไปจํานองธนาคาร แตกต่างจากจําเลยทั้งสองที่ไม่มีพี่น้องคนใดมายืนยันสนับสนุนข้ออ้างว่าจําเลยที่ ๑ ซื้อที่ดินพิพาทมาจากโจทก์แต่อย่างใด รวมถึงจําเลยที่ ๑ เองที่มีความเกี่ยวข้องเป็นคู่ความในคดีและน่าจะรู้เห็นเรื่อง การซื้อขายที่ดินพิพาทโดยตรงก็ไม่ได้มาเบิกความตามที่ให้การต่อสู้คดีไว้ ทั้งใน การที่โจทก์จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จําเลยที่ ๑ ไม่มีเอกสารหลักฐานใด แสดงให้ปรากฏว่าเป็นการซื้อขายที่ดินพิพาทตามที่จําเลยที่ ๒ และนางประนอม กล่าวอ้างแต่อย่างใด หากเป็นเรื่องที่จําเลยทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์จริง ไม่น่าเชื่อว่าจําเลยทั้งสองจะยินยอมระบุในการจดทะเบียนว่าเป็นเรื่องจําเลยที่ ๑ ได้รับยกให้ที่ดินพิพาทจากโจทก์โดยเสน่หาและไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ ประกอบกับ จําเลยทั้งสองยอมรับว่าจําเลยทั้งสองยังไม่เคยทําการชําระราคาที่ดินให้โจทก์เลย ข้อที่จําเลยทั้งสองกล่าวอ้างว่าได้ตกลงหักกลบลบหนี้กับเงินที่โจทก์ติดค้าง จําเลยที่ ๑ จํานวน ๑๐๐,000 บาท และติดค้างนายศรีวงค์อีก ๑๕๐,000 บาท นั้น เป็นเรื่องที่จําเลยทั้งสองยกขึ้นอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ําหนักน่าเชื่อถือ และขัดกับ ที่อ้างว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทเพราะประสบปัญหาเรื่องร้านอาหารของโจทก์ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่โจทก์กลับไม่ได้รับเงินจากการขายที่ดินพิพาทเลย จําเลยที่ ๒ ยังได้เบิกความตอบคําถามค้านยอมรับว่า นอกจากที่ดินพิพาทแล้ว จําเลยที่ ๑ เคยยืมที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๔๐ อันเป็นที่ดินของโจทก์อีกแปลงหนึ่ง ที่เคยมีชื่อจําเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แทนไปจํานองเป็นประกันหนี้ด้วย และภายหลังจําเลยที่ ๑ โอนที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์แล้ว ย่อมเป็นข้อสนับสนุน ทางนําสืบของโจทก์ให้มีน้ําหนักน่าเชื่อว่าโจทก์เจตนาช่วยเหลือญาติพี่น้อง จึงโอนที่ดินพิพาทของโจทก์ไปให้จําเลยที่ ๑ นําไปใช้เป็นหลักประกันการกู้เงิน เช่นเดียวกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๔๐ ดังนี้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ําหนัก ให้รับฟังยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจําเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์โอน ที่ดินพิพาทให้แก่จําเลยที่ ๑ โดยไม่มีเจตนาแท้จริงให้ผูกพันกัน เป็นการแสดง เจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างโจทก์และจําเลยทั้งสอง เพื่อให้จําเลยทั้งสองนํา ที่ดินพิพาทไปจํานองเป็นประกันหนี้กู้เงินต่อธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) การโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจําเลยที่ ๑ และจําเลยที่ ๑ กับจําเลยที่ ๒ จึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕ วรรคหนึ่ง

สำหรับค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ กําหนดให้จําเลยทั้งสองชําระแก่โจทก์ เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท นั้น เหมาะสมแล้ว ฎีกาของจําเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของจําเลยทั้งสองข้ออื่น ๆ ล้วนเป็นรายละเอียดปลีกย่อยและไม่มีเหตุ เปลี่ยนแปลงผลแห่งคดี จึงไม่จําต้องวินิจฉัย

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา 

โทร 089-142-7773 ไลน์ไอดี @lawyers.in.th  (มี@นำ)

Facebook Comments