กรณีผู้ถูกทำละเมิดไม่ได้ถึงแก่ความตายทันที ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลซึ่งในการรักษาพยาบาลผู้ต้องเสียหายแล้ว ทายาทย่อมมีสิทธิเลือกโรงพยาบาลที่จะให้ผู้ถูกละเมิดเข้ารับการรักษา เพื่อให้ผู้ถูกละเมิดมีชีวิตรอดและหายจากการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลของรัฐหรือของเอกชนซึ่งแพงกว่าก็ตาม ทั้งต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปโรงพยาบาลของผู้ถูกทำลายละเมิด และทายาทที่ต้องไปทำการดูแลด้วย
ผู้ทำละเมิดหรือบุคคลที่ต้องร่วมรับผิดกับผู้ทำละเมิด มีหน้าที่ต้องชดใช้แก่ทายาทผู้ถูกละเมิดเพิ่มขึ้นอีก จากกรณีที่ผู้ถูกทำลายเมื่อถึงแก่ความตายทันที เว้นแต่จะเป็นค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและเกินความจำเป็น
นอกจากนั้นในกรณีที่ผู้ถูกละเมิดรับราชการ หรือบุตรรับราชการ หรือบิดามารดารับราชการ แม้จะมีสิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาลทางราชการก็ตาม แต่ก็เป็นสวัสดิการที่ทางราชการจัดให้แก่ข้าราชการและบุคคลในครอบครัว ฝ่ายผู้ทำละเมิดไม่อาจยกขึ้นอ้างเพื่อปัดความรับผิด หรือหักตอนออกจากค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ทั้งเงินค่ารักษาพยาบาลที่เบิกมา จากหน่วยงานต้นสังกัดก็ไม่ใช่เงินของฝ่ายผู้ทำละเมิด
มีแนวคำพิพากษาฎีกา เคยวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2508/2527 โดยปกติย่อมนำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้มีการรักษาพยาบาลรวดเร็วและทันท่วงที เมื่อโรงพยาบาลเอกชนอยู่ใกล้ที่สุด การที่โจทก์ได้เสียค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนไปเพียงใด จึงเป็นค่าเสียหายโดยตรง ซึ่งโจทก์ชอบที่จะรับผิด ชดใช้คืนเต็มจำนวน แม้ว่าค่ารักษาพยาบาลจะแพงกว่าโรงพยาบาลของรัฐก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2530 โจทก์ที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัสมาก หากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลที่ดีอาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เมื่อโรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดมีเครื่องมือไม่พอที่จะรักษาได้ ต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานคร จึงไม่ใช่เป็นการรักษาที่พุ่งเฟือย จำเลยต้องรับผิดในค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโจทก์ที่ 1 และค่าใช้จ่ายในการที่โจทก์ที่ 2 ไปดูแลโจทก์ที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 806/2533 การที่ผู้ตายได้รับส่วนลดในค่ารักษาพยาบาลเพราะเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ไม่เป็นเหตุให้ความรับผิดของจำเลยลดลงไปด้วย เนื่องจากเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ตาย
สรุป ผู้ถูกทำละเมิด มีสิทธิเลือกโรงพยาบาลที่จะรักษาพยาบาลได้
มีปัญหาคดีละเมิดเรียกค่าเสียหาย
ติดต่อสำนักงาน SCLLAW 091 712 7444