คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยโดยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 18508 และ 18509 เลขที่ดิน 42 และ 43 อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร และให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไม่มีเลขที่ ซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 18509 และส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี กับให้ชดใช้ค่าเสียหาย 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 ตุลาคม 2558) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยส่งมอบที่ดินทั้งสองแปลงคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ไปดำเนินการไถ่ถอนจำนองและดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 18508 ให้กลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยดังเดิมโดยเร็ว หากโจทก์ไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้ ให้โจทก์ชดใช้เงินแก่จำเลย 1,271,090 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้ง (วันที่ 18 มกราคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องและฟ้องแย้งทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท
โจทก์ฎีกา และยื่นคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ยกเว้นเฉพาะค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาจำนวน 25,521 บาท หากโจทก์ประสงค์ฎีกาก็ให้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนจำเลยจำนวน 74,392 บาท มาวางศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันฟังคำสั่ง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้โจทก์ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาทั้งหมด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ และมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยแก้ภายใน 15 วัน โดยให้โจทก์นำส่งภายใน 15 วัน โจทก์ไม่ดำเนินการนำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกาเพื่อสั่ง
คดีนี้ในชั้นร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา โจทก์ได้ส่งสำเนาคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลและสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยแล้วเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2558 และจำเลยได้รับเอกสารดังกล่าวแล้วปรากฏตามรายงานผลการส่งหมายในสำนวน ลำดับที่ 103 ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาทั้งหมด ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ แล้วดำเนินการออกหมายนัดแจ้งให้จำเลยทราบกับกำหนดให้จำเลยแก้ฎีกาของโจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหมายนัด ไม่มีเหตุที่จะต้องสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยซ้ำอีก ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยแก้ในครั้งหลังนี้อีก จึงเป็นการผิดหลง และเป็นเหตุให้โจทก์สำคัญผิดว่าการที่โจทก์ได้ส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยไว้ดังกล่าวแล้วข้างต้น เป็นการที่โจทก์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว ไม่จำต้องปฏิบัติซ้ำอีก ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์จงใจเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีในการนำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยตามคำสั่งศาลชั้นต้น
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยแก้ภายใน 15 วัน โดยให้โจทก์นำส่งภายใน 15 วัน นั้นเสีย และสั่งใหม่เป็นให้โจทก์นำส่งหมายนัดแจ้งการรับฎีกา กับกำหนดเวลาให้จำเลยแก้ฎีกาภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับหมายนัดดังกล่าว แก่จำเลยภายใน 7 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษานี้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
สรุป
ในชั้นร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา โจทก์ได้ส่งสำเนาคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลและสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยและจำเลยได้รับเอกสารดังกล่าวแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาทั้งหมด ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้แล้วออกหมายนัดแจ้งให้จำเลยทราบกับกำหนดให้จำเลยแก้ฎีกาของโจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหมายนัด ไม่มีเหตุที่จะต้องสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยซ้ำอีก การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยแก้ในครั้งหลังนี้อีกจึงเป็นการผิดหลง และเป็นเหตุให้โจทก์สำคัญผิดว่าการที่โจทก์ได้ส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยไว้ดังกล่าวข้างต้น เป็นการที่โจทก์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว ไม่จำต้องปฏิบัติซ้ำอีก จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์จงใจเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีในการนำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยตามคำสั่งศาลชั้นต้น
มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
โทร 089-142-7773 ไลน์ไอดี @lawyers.in.th