ทำร้ายชายอื่น หลังจากเห็นชายอื่นมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา จนถึงแก่ความตาย อ้างป้องกัน/บันดาลโทสะได้หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5486/2560
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 288, 371 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธาณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่โดยต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ จำคุก 12 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 1,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 500 บาท รวมจำคุก 8 ปี และปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ริบเหล็กแหลม ไม้สด ด้ามเสียม และใบเสียมโลหะของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 69 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสาวหยาดพิรุณ ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยพาอาวุธเหล็กแหลมสองแฉกไปตามถนนสาธารณะภายในหมู่บ้านโนนสง่า แล้วจำเลยใช้ไม้ที่พบข้างทางและเสียมที่นำมาจากกระท่อมตีทำร้ายนายอุทิศ ผู้ตายหลายครั้งถูกที่ศีรษะใบหน้าและลำตัวเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ สำหรับความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนางสาวหยาดพิรุณภริยาจำเลยพยานโจทก์ว่า จำเลยเห็นผู้ตายขณะมีเพศสัมพันธ์กับภริยาจำเลยจึงเข้าไปชกต่อยต่อสู้กับผู้ตาย เมื่อจำเลยเพลี่ยงพล้ำภริยาจำเลยและผู้ตายรีบสวมใส่กางเกง แล้วภริยาจำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยมีผู้ตายนั่งซ้อนท้ายออกไปห่างจากกระท่อมประมาณ 50 เมตร ก็ได้ยินเสียงไม้ตีอยู่ด้านหลังทำให้ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ รถจักรยานยนต์จึงล้มลง ภริยาจำเลยวิ่งไปบริเวณป่ามันสำปะหลังแล้วมองกลับมาเห็นจำเลยกับผู้ตายต่อสู้กัน ผู้ตายล้มลงและพูดว่า “ยอมแล้ว ยอมแล้ว” แต่จำเลยยังใช้ไม้ตีลำตัวผู้ตายจนเสียงต่อสู้สงบลง เจือสมคำเบิกความของจำเลยที่ว่าจำเลยเห็นภริยาจำเลยกับผู้ตายมีเพศสัมพันธ์กัน จำเลยโกรธจึงเข้าไปดึงผู้ตายออกมาชกต่อย ส่วนภริยาจำเลยไปติดเครื่องรถจักรยานยนต์และเรียกผู้ตายขึ้นรถ ผู้ตายก็รีบวิ่งไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ภริยาจำเลยขับออกไป จำเลยวิ่งตามโดยถือเสียมจากกระท่อมและไม้ที่หล่นอยู่ตามทางติดมือไปด้วย เมื่อตามไปทันจึงใช้ไม้ตีหลังผู้ตายจนรถจักรยานยนต์ล้มลง ภริยาจำเลยและผู้ตายตกจากรถแล้วภริยาจำเลยหนีเข้าไปในป่ามันสำปะหลัง จำเลยใช้ไม้ตีบริเวณศีรษะและลำตัวผู้ตายแล้วใช้เสียมตีศีรษะผู้ตายจนเหล็กแยกออกจากด้ามไม้ ผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับพื้น จึงฟังได้ว่า จำเลยเห็นผู้ตายขณะมีเพศสัมพันธ์กับภริยาจำเลยจึงเข้าไปชกต่อยต่อสู้กับผู้ตาย เมื่อจำเลยเพลี่ยงพล้ำ ภริยาจำเลยและผู้ตายรีบสวมใส่กางเกง แล้วภริยาจำเลยไปติดเครื่องรถจักรยานยนต์และเรียกผู้ตายขึ้นรถ ผู้ตายก็รีบวิ่งไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ภริยาจำเลยขับออกไป ดังนี้ ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยวิ่งตามไปทันทีแล้วใช้ไม้และเสียมตีผู้ตายจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนได้ แต่อย่างไรก็ดี การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนื่องกระชั้นชิดกับเหตุการณ์ที่จำเลยเห็นผู้ตายมีเพศสัมพันธ์กับภริยาจำเลย ถือได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ไม้และเสียมตีผู้ตายในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย หาใช่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยฆ่าผู้ตายมีสาเหตุมาจากผู้ตายก่อเหตุไปมีเพศสัมพันธ์กับภริยาจำเลย อันเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรีและกระทบกระเทือนจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรง ที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกจำเลยมานั้นหนักเกินไป สมควรกำหนดโทษฐานนี้เสียใหม่ให้เบาลงเพื่อให้เหมาะสมแก่รูปคดี
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 ลงโทษจำคุก 3 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นแล้ว เป็นจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี และปรับ 500 บาท ไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3
สรุป จำเลยเห็นผู้ตายขณะมีเพศสัมพันธ์กับภริยาจำเลย จึงเข้าไปชกต่อยต่อสู้กับผู้ตาย เมื่อจำเลยเพลี่ยงพล้ำ ภริยาจำเลยและผู้ตายรีบสวมใส่กางเกง แล้วภริยาจำเลยไปติดเครื่องรถจักรยานยนต์และเรียกผู้ตายขึ้นรถ ผู้ตายก็รีบวิ่งไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ภริยาจำเลยขับออกไป ดังนี้ ภยันอันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยวิ่งตามไปทันทีแล้วใช้ไม้และเสียมตีผู้ตายจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนได้ แต่อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวต่อเนื่องกระชั้นชิดกับเหตุการณ์ที่จำเลยเห็นผู้ตายมีเพศสัมพันธ์กับภริยาจำเลย ถือได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ไม้และเสียมตีผู้ตายในขณะนั้น จึงเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ
มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
โทร 089-142-7773 ไลน์ไอดี @lawyers.in.th