ใส่ความด่ากันในไลน์กลุ่ม ผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาหรือไม่ (มีฎีกา)
คําพิพากษาฎีกาที่ ๕๒๗๖/๒๕๖๒
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘ มีระวาง โทษจําคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท เกินอํานาจ ผู้พิพากษาคนเดียวที่จะพิพากษายกฟ้องได้ตามพระธรรมนูญศาล ยุติธรรมมาตรา ๒๕ (๕) และมาตรา ๒๖ แต่ผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจ ไต่สวนมูลฟ้องได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๒๕ (๓) การ ไต่สวนมูลฟ้องโดยผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนคนเดียวในศาลชั้นต้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายกคําพิพากษาศาลชั้นต้นและ ย้อนสํานวนให้ศาลชั้นต้นดําเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ เป็นเพียงการย้อนสํานวนมาให้ดําเนินกระบวนพิจารณาและทํา คําพิพากษาใหม่ในส่วนที่ไม่ชอบตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๓๑ (๑) ประกอบมาตรา ๒๙ (๓) เมื่อการไต่สวนมูลฟ้องในความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘ โดยผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน คนเดียวในศาลชั้นต้นชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๒๕ (๓)
ศาลชั้นต้นหาจําต้องไต่สวนมูลฟ้องใหม่อีกไม่ และเมื่อทนายโจทก์แถลง ต่อศาลชั้นต้นในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า โจทก์หมดพยานในชั้นไต่สวน มูลฟ้อง การไต่สวนมูลฟ้องย่อมเสร็จสิ้นลงโดยชอบแล้ว โจทก็ไม่อาจ นําพยานเข้าไต่สวนเพิ่มเติมได้อีก และ คํา พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนกับผู้พิพากษา หัวหน้าศาลลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะ เป็นกรณีมีเหตุจําเป็นอื่นอัน มิอาจก้าวล่วงได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๓๑ (๑) ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลย่อมมีอํานาจตรวจสํานวนคดีและลงลายมือชื่อ ร่วมเป็นองค์คณะได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา ๒๙ (๓) การ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๓๒๔ ซึ่งมีระวางโทษเกินอํานาจผู้พิพากษาคนเดียวใน ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจสํานวนคดีและลงลายมือชื่อ ร่วมเป็นองค์คณะจึงเป็นการพิจารณาและพิพากษาใหม่โดยมีผู้พิพากษา ครบองค์คณะโดยชอบ
การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิน หรือถูกเกลียดชัง อันจะเป็นความผิดฐานหมิน ประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ และมาตรา ๓๒๘ ต้องเป็นการใส่ความระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความเป็นการยืนยันรู้ได้ แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความ โดยตรง การใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยเฉพาะความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘ ผู้กระทําต้องเผยแพร่ข้อความอันเป็นการ หมิ่นประมาทออกไปยังสาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป การที่จําเลยส่ง ข้อความลงในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มโพสท์นิวส์ออนไลน์ มีลักษณะเป็น เพียงเจตนาการแจ้งหรือไขข่าวไปยังเฉพาะกลุ่มบุคคลซึ่งอยู่ในกลุ่มไลน์ เท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นการกระจายข่าวไปสู่สาธารณชนหรือประชาชน ทั่วไป คดีโจทก์ไม่มีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘
โจทก์ฟ้องว่า จําเลยใช้แอปพลิเคชันไลน์ (LINE) ซึ่งเป็น แอปพลิเคชันที่ใช้เพื่อการสื่อสารโฆษณา สนทนากันระหว่างเพื่อนใน แอปพลิเคชันผ่านอินเทอร์เน็ต โดยใช้ชื่อว่า “เจน/ข่าว/โพสท์นิวส์” โดย จําเลยใช้สื่อสารกับบุคคลอื่น ๆ ซึ่งเป็นเพื่อนในแอปพลิเคชันดังกล่าวด้วย การส่งข้อความ โพสต์ข้อความ รูปภาพ รวมทั้งการส่งข้อความสนทนา โต้ตอบกันในแอปพลิเคชันดังกล่าวด้วย จําเลยตั้งกลุ่มในแอปพลิเคชัน ชื่อ “โพสท์นิวส์ออนไลน์” และเชิญบุคคลอื่น ๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิกใน กลุ่มดังกล่าวโดยสมาชิกดังกล่าวสามารถเห็น อ่านและสนทนาในกลุ่ม ได้ โดยจําเลยเป็นผู้ดูแลกลุ่มดังกล่าว เมื่อประมาณวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ เวลากลางวันและกลางคืนต่อ เนื่องกัน จําเลยกระทําความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จําเลยใส่ ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้โจทก์นั้นเสีย ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง โดยจําเลยได้กระทําโดยการโฆษณา
ด้วยเอกสารภาพวาดภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทําให้ ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียงหรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือ บันทึกอักษร กระทําโดยกระจายเสียง หรือกระจายภาพ หรือโดยกระทํา การป่าวประกาศด้วยวิธีการอื่น โดยจําเลยซึ่งเป็นผู้ใช้แอปพลิเคชันไลน์ ชื่อ เจน/ข่าว/โพสท์นิวส์ ได้กระทําการส่งข้อความใส่ความโจทก์เข้าไป ในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มโพสท์นิวส์ออนไลน์หลายครั้ง เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จําเลยส่งข้อความเข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่ม ดังกล่าวว่า “นับถอยหลังอีกไม่กี่วันกระบวนการยุติธรรมของศาล อุทธรณ์… จะตัดสินคืนความถูกต้องชอบธรรมให้กับนางบงกช (เจ้าของ ที่ดินที่ให้เช่าทําแพอาหารโฟลทติ้งติดกับสะพานแม่น้ําแคว) หมด สัญญาเช่าแต่ไม่ย้ายออกแถมยื่นฟ้องต่อศาลว่าที่ดินมรดกของ นางบงกชได้มาไม่ถูกต้อง ทั้งที่ที่ดินจังหวัดตรวจสอบและรับรองสิทธิ์ ถูกต้องแล้ว จนทําให้นางบงกชต้องฟ้องขับไล่โดยศาลชั้นต้นตัดสินให้ ผู้เช่าที่หมดสัญญาย้ายออก…แต่กลับหน้าด้านยื่นอุทธรณ์สมเป็นชาย ชาติทหารจริงๆ.. อีกไม่กี่วันก็รู้ผลแล้วเตรียมตัวเอาปืบคลุมหัวกันได้ เลย..ชาวบ้านเรียกว่าเนรคุณ.. คนทั่วไปเรียกคนแบบนี้ว่าอะไรไปคิด กันเอง.. อุป!!! อย่าลืมอ่านแบบเต็ม ๆ รวมถึงกรมเจ้าท่าและวัฒนธรรม ๑๕๗ ใน นสพ. โพสท์นิวส์ ฉบับเดือน พ.ค. นี้ แน่นอน” วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จําเลยส่งข้อความเข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่ม ดังกล่าวหลายครั้งติดต่อกัน ครั้งที่ ๑ เวลา ๑๐.๐๙ นาฬิกา จําเลย ส่งข้อความว่า “อีกหนึ่งวันที่กระบวนการยุติธรรมจะคืนความชอบธรรม
ให้กับประชาชนตาดํา ๆ ที่ถูกนายทุนหน้าด้านหน้าหนาหมดสัญญาเช่า ที่ดินไม่ยอมย้ายออก, น่าอับอายจริง ๆ อ้างมั่ว ๆ ขอเช่าสิทธิริมตลิ่งกับ กรมเจ้าท่า รู้ไม่จริงหรือแกล้งโง่. สิทธิริมตลิ่งเป็นของเจ้าของที่ดินริม แม่น้ํา..ยังดื้อดันยืดเวลาออกไปหวังค้าขายกอบโกยแล้วหนี โหววนี้หรือ คน..” ครั้งที่ ๒ เวลา ๑๐.๑๑ นาฬิกา จําเลยส่งข้อความว่า “เพิ่งลงมา จากศาลได้ความนัดตรวจสอบที่ดิน เรื่องนี้ไม่ตรวจสอบอะไรเพราะที่ดิน จังหวัดได้มาตรวจสอบและแจ้งให้จําเลยทราบแล้ว” ครั้งที่ ๓ เวลา ๑๐.๑๓ นาฬิกา จําเลยส่งข้อความว่า “แต่จําเลยได้ยื้อเวลาให้นานที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ในการใช้พื้นที่เช่าที่หมดสัญญาเช่าแล้ว..” ครั้ง ที่ ๔ เวลา ๑๐.๑๓ นาฬิกา จําเลยส่งข้อความว่า “ก็ไม่เป็นไรมีความสุข บนความทุกข์ของคนที่มีบุญคุณให้เช่าที่ดินทํามาหากินจนมั่งมีแต่ทําตัวดี เวรกรรมสมัยนี้เร็วยิ่งกว่าจรวดซะอีก ๕๕” วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๙ จําเลยส่งข้อความเข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มดังกล่าวว่า “อดีตนายทหารเต๊ะจุย.มาดเหลือรับทาน..ไร้สํานึก ไร้วุฒิอุปโลกน์ ไล่ ไม่ไปไหนยังมีอยู่ไหมที่ไหนกันบ้าง ? แจ้งเข้ามาจะส่งเสริมให้สังคมรู้ หรือว่าเค้ารู้กันทั้งเมืองแล้ว..๕๕๕” และวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ จําเลยส่งข้อความเข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มดังกล่าวว่า “กรณีฟ้อง ร้องขับไล่โจทก์ได้ฟ้องแพ่งไปพร้อม ๆ กันด้านอยู่ก็สู้กัน..พอถึงจุดนั้น ก็อ้างล้มละลาย โถวๆ โจทก์เค้าบันทึกข้อมูลทุกอย่างของจําเลยไว้หมด ว่าที่อ้างล้มละลายน่ะ อุปโลกน์, รถหรู สินทรัพย์ถึงจะเป็นชื่อลูกชื่อเมีย ก็ไม่รอดนะคร้าบบ.ฟ้องแพ่งวันละแสน.. นี่ก็จะแปดเดือนแล้ว… บวกคุณเอาว่าเท่าไหร่ ๕๕ 4.” โดยผู้ที่จําเลยกล่าวถึงในข้อความดังกล่าวหมาย ถึงโจทก์ ซึ่งกําลังมีคดีพิพาทฟ้องเรื่องเช่าที่ดิน ขับไล่ กับนางบงกช ท้วมเทียม และเป็นคดีที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งข้อความที่จําเลยส่ง เข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มดังกล่าว เป็นข้อความอันเป็นเท็จ ใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม ทําให้ประชาชนทั่วไปและหรือสมาชิกใน แอปพลิเคชันไลน์กลุ่มดังกล่าวที่ได้อ่านข้อความดังกล่าวเข้าใจว่าโจทก์ เป็นคนไม่ดี เป็นนายทหารและนายทุนรังแกประชาชนและโกง ต้องการ ได้ที่ดินของผู้อื่น ทําให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างร้ายแรง ถูกเกลียดชัง จากบุคคลที่สาม ซึ่งได้อ่านข้อความดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวล กฎหมายอาญามาตรา ๙๑ , ๓๒๖ , ๓๒๘ , ๓๓๒ และให้จําเลยลงพิมพ์ โฆษณาคําพิพากษาทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจังหวัดกาญจนบุรี มีกําหนด ๗ ครั้ง โดยให้จําเลยชําระค่าโฆษณา ในการ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษา ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายกคําพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่โดยให้มีผู้พิพากษาครบองค์คณะศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่แล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษา ยกฟ้องโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจสํานวนแล้วลงลายมือชื่อร่วม เป็นองค์คณะ
โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืนโจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคําพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พยานหลักฐานของโจทก์ที่นําสืบในชั้น ไต่สวนมูลฟ้องพอมีมูลว่า โจทก์เคยรับราชการทหาร โจทก์ทําสัญญาเช่า ที่ดินของนางบงกช ท้วมเทียม ประกอบกิจการร้านอาหารแพโฟลทติ้งซึ่ง อยู่ติดกับสะพานข้ามแม่น้ําแควและมีข้อพิพาทกันเกี่ยวกับสัญญาเช่า โดยโจทก์ฟ้องนางบงกชว่าผิดสัญญาเช่า คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการ พิจารณาของศาลฎีกา ส่วนนางบงกชฟ้องขับไล่โจทก์ คดีอยู่ระหว่างการ พิจารณาของศาลชั้นต้น ตามสําเนาอุทธรณ์และสําเนาหมายเรียกคดี แพ่งสามัญเอกสารหมาย จ.๔ และ จ.๕ จําเลยตั้งกลุ่มในแอปพลิเคชัน ไลน์ชื่อ โพสท์นิวส์ออนไลน์ โดยจําเลยใช้ชื่อว่า เจนข่าว/โพสท์นิวส์ และ เชิญบุคคลต่าง ๆ เข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มโดยสมาชิกดังกล่าวสามารถ สนทนาและอ่านข้อความที่สนทนากันภายในกลุ่มได้ เมื่อระหว่างวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ จําเลยส่งข้อความ เข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มดังกล่าว โดยวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จําเลยส่งข้อความว่า “นับถอยหลังอีกไม่กี่วันกระบวนการยุติธรรมของ ศาลอุทธรณ์… จะตัดสินคืนความถูกต้องชอบธรรมให้กับนางบงกช (เจ้าของที่ดินที่ให้เช่าทําแพอาหารโฟลทติ้งติดกับสะพานแม่น้ําแคว) หมดสัญญาเช่าแต่ไม่ย้ายออกแถมยื่นฟ้องต่อศาลว่าที่ดินมรดกของ นางบงกชได้มาไม่ถูกต้องทั้งที่ที่ดินจังหวัดตรวจสอบและรับรองสิทธิ์ ถูกต้องแล้ว จนทําให้นางบงกชต้องฟ้องขับไล่โดยศาลชั้นต้นตัดสินให้
ผู้เช่าที่หมดสัญญาย้ายออก..แต่กลับหน้าด้านยื่นอุทธรณ์ สมเป็นชาย ชาติทหารจริงๆ…. อีกไม่กี่วันก็รู้ผลแล้ว..เตรียมตัวเอาใบคลุมหัวกันได้ เลย..ชาวบ้านเรียกว่าเนรคุณ.. คนทั่วไปเรียกคนแบบนี้ว่าอะไรไปคิด กันเอง.. อุ้ป!! อย่าลืมอ่านแบบเต็ม ๆ รวมถึงกรมเจ้าท่าและวัฒนธรรม .๑๕๗ ใน นสพ. โพสท์นิวส์ ฉบับเดือน พ.ค. นี้ แน่นอน..” วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จําเลยส่งข้อความเข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่ม ดังกล่าวหลายครั้งติดต่อกัน ครั้งที่ ๑ เวลา ๑๐.๐๙ นาฬิกา จําเลยส่ง ข้อความว่า “อีกหนึ่งวันที่กระบวนการยุติธรรมจะคืนความชอบธรรมให้ กับประชาชนตาดํา ๆ ที่ถูกนายทุนหน้าด้านหน้าหนาหมดสัญญาเช่า ที่ดินไม่ยอมย้ายออก, น่าอับอายจริง ๆ อ้างมั่ว ๆ ขอเช่าสิทธิริมตลิ่งกับ กรมเจ้าท่า รู้ไม่จริงหรือแกล้งโง่.. สิทธิริมตลิ่งเป็นของเจ้าของที่ดิน ริมแม่น้ํา.. ยังดื้อดันยืดเวลาออกไปหวังค้าขายกอบโกยแล้วหนี โหววนี่ หรือคน” ครั้งที่ ๒ เวลา ๑๐.๑๑ นาฬิกา จําเลยส่งข้อความว่า “เพิ่งลง มาจากศาลได้ความนัดตรวจสอบที่ดิน เรื่องนี้ไม่ตรวจสอบอะไรเพราะ ที่ดินจังหวัดได้มาตรวจสอบและแจ้งให้จําเลยทราบแล้ว” ครั้งที่ ๓ เวลา ๑๐.๑๓ นาฬิกา จําเลยส่งข้อความว่า “แต่จําเลยได้ยื้อเวลาให้นานที่สุด เพื่อรักษาผลประโยชน์ในการใช้พื้นที่เช่าที่หมดสัญญาเช่าแล้ว..” ครั้งที่ ๔ เวลา ๑๐.๑๓ นาฬิกา จําเลยส่งข้อความว่า “ก็ไม่เป็นไรมีความสุขบน ความทุกข์ของคนที่มีบุญคุณให้เช่าที่ดินทํามาหากินจนมั่งมีแต่ทําตัวดี..เวรกรรมสมัยนี้เร็วยิ่งกว่าจรวดซะอีก ๕๕” วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๙ จําเลยส่งข้อความเข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มดังกล่าวว่า “อดีตนาย ทหารเต๊ะงัย.มาดเหลือรับทานไร้สํานึก ไร้วุฒิอุปโลกน์ไล่ไม่ไปไหนยังมีอยู่ไหมที่ไหนกันบ้าง..? แจ้งเข้ามาจะส่งเสริมให้สังคมรู้หรือว่าเค้า รู้กันทั้งเมืองแล้ว. ๕๕๕” และวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ จําเลย ส่งข้อความเข้าไปในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มดังกล่าวว่า “กรณีฟ้องร้อง ขับไล่โจทก์ได้ฟ้องแพ่งไปพร้อมๆ กัน..ด้านอยู่ก็สู้กัน..พอถึงจุดนั้นก็อ้าง ล้มละลาย.. โถว ๆ โจทก์เค้าบันทึกข้อมูลทุกอย่างของจําเลยไว้หมดว่าที่ อ้างล้มละลายน่ะ อุปโลกน์, รถหรู สินทรัพย์ถึงจะเป็นชื่อลูกชื่อเมียก็ไม่ รอดนะคร้าบบ..ฟ้องแพ่งวันละแสน นี่ก็จะแปดเดือนแล้ว บวกคูณเอา ว่าเท่าไหร่ ๕๕+” ตามภาพถ่ายข้อความเอกสารหมาย จ.๓.
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ดําเนินการไต่สวนมูลฟ้องใหม่ และมีคําพิพากษามา นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องศาลชั้นต้นโดย ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะพิจารณา และต่อมาได้มีคําพิพากษา ยกฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๔ ซึ่งความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘ มีระวาง โทษจําคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท จึงเกินอํานาจ ผู้พิพากษาคนเดียวที่จะพิพากษายกฟ้องได้ตามพระธรรมนูญศาล ยุติธรรม มาตรา ๒๕ (๕) และมาตรา ๒๖ แต่ผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจ ไต่สวนมูลฟ้องได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๒๕ (๓) ดังนั้น การไต่สวนมูลฟ้องโดยผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนคนเดียวในศาลชั้นต้น จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายก คําพิพากษาศาลชั้นต้นและย้อนสํานวนให้ศาลชั้นต้นดําเนินกระบวน พิจารณาและพิพากษาใหม่ จึงเป็นเพียงการย้อนสํานวนมาให้ดําเนิน
กระบวนพิจารณาและทําคําพิพากษาใหม่ในส่วนที่ไม่ชอบตาม พระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา ๓๑ (๑) ประกอบมาตรา ๒๙ (๓) เท่านั้น ศาลชั้นต้นหาจําต้องไต่สวนมูลฟ้องใหม่อีกแต่อย่างใดไม่ และเมื่อทนาย โจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า โจทก์หมดพยานในชั้น ไต่สวนมูลฟ้องตามรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๙ การไต่สวนมูลฟ้องย่อมเสร็จสิ้นลงโดยชอบแล้ว โจทก์จึงไม่อาจนําพยาน เข้าไต่สวนเพิ่มเติมได้อีก ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์นําพยานเข้า ไต่สวนเพิ่มเติมและศาลอุทธรณ์ภาค ๗ เห็นพ้องด้วยมานั้นชอบแล้ว ส่วนคําพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งผู้พิพากษาเจ้าของสํานวนกับผู้พิพากษา หัวหน้าศาลลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะ เป็นกรณีมีเหตุจําเป็นอื่นอัน มิอาจก้าวล่วงได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๓๑ (๑) ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลย่อมมีอํานาจตรวจสํานวนคดีและลงลายมือชื่อ ร่วมเป็นองค์คณะได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๒๙ (๓) การ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจ สํานวนคดีและลงลายมือชื่อร่วมเป็นองค์คณะจึงเป็นการพิจารณาและ พิพากษาใหม่โดยมีผู้พิพากษาครบองค์คณะโดยชอบตามคําพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ใน
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า คดีโจทก์มีมูลความผิดตาม ฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ข้อความที่จําเลยส่งเข้าไปในแอปพลิเคชัน ไลน์ กลุ่มโพสท์นิวออนไลน์ ตามเอกสารหมาย จ.๓ หมายถึงโจทก์ จึง เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณาตามฟ้องนั้น เห็นว่า การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูก ดูหมิน หรือถูกเกลียดชัง อันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ และมาตรา ๓๒๘ นั้น จะต้องได้ ความว่า การใส่ความดังกล่าวได้ระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความเป็นการ ยืนยันรู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ ถูกใส่ความโดยตรง การใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใด บุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อพิจารณาข้อความตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.๓ แล้ว แม้ไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าเป็นโจทก์ แต่ก็ได้ความจาก คําเบิกความของนายโสรวาร จันทร์เพียว ผู้รับมอบอํานาจโจทก์และ นางสาวภัทราภรณ์ปรกแก้ว ญาติของโจทก์ ว่า โจทก์เป็นอดีตทหารและ เช่าที่ดินจากนางบงกชซึ่งอยู่ติดสะพานข้ามแม่น้ําแคว เพื่อประกอบ กิจการร้านอาหารชื่อ “ แพโฟลทติ้ง ” ซึ่งมีเพียงร้านเดียวในจังหวัด กาญจนบุรี และยังมีข้อพิพาทฟ้องร้องดําเนินคดีกับนางบงกชด้วย เมื่อ นายโสรวารอยู่ในกลุ่มไลน์เดียวกับจําเลยและนางสาวภัทราภรณ์ได้อ่าน ข้อความตามเอกสารหมาย จ.๓ ก็เข้าใจทันทีว่าบุคคลที่จําเลยกล่าวถึง นั้นหมายถึงโจทก์ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาภาพถ่ายข้อความเอกสาร หมาย จ.๓ แผ่นที่ ๔ แล้ว ปรากฏว่าวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๙ เวลา ๒๑.๕๒ นาฬิกา มีสมาชิกในกลุ่มไลน์ซึ่งใช้ชื่อว่า KAN BURI ได้ลง ข้อความต่อจากจําเลยว่า “รอคดีแพ่งครับ มีอ้วก” จากนั้นวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙ เวลา ๑๑.๑๔ นาฬิกา จําเลยจึงลงข้อความได้ความ ว่า ในคดีแพ่งฟ้องขับไล่มีการเรียกค่าเสียหายวันละแสน เป็นเวลาใกล้ครบ ๘ เดือนแล้ว ข้อความของสมาชิกในกลุ่มไลน์ที่ใช้ชื่อว่า KAN BURI ดังกล่าวจึงสอดรับกับข้อความที่จําเลยลงในวันถัดไปเป็นข้อบ่งชี้ให้เห็น ว่าผู้ที่อ่านข้อความเข้าใจได้ว่าบุคคลที่จําเลยกล่าวถึงคือโจทก์ เมื่อ ข้อความดังกล่าวอาจทําให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิน หรือถูกเกลียดชัง คดีโจทก์จึงมีมูลเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๓๒๖ แต่สําหรับความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการ โฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๔ นั้น ผู้กระทําต้องเผย แพร่ข้อความอันเป็นการหมิ่นประมาทออกไปยังสาธารณชนหรือ ประชาชนทั่วไป การที่จําเลยส่งข้อความลงในแอปพลิเคชันไลน์ กลุ่ม โพสท์นิวส์ออนไลน์ มีลักษณะเป็นเพียงเจตนาการแจ้งหรือไขข่าวไปยัง เฉพาะกลุ่มบุคคลซึ่งอยู่ในกลุ่มไลน์ดังกล่าวเท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นการ กระจายข่าวไปสู่สาธารณชนหรือประชาชนทั่วไป คดีโจทก์จึงไม่มีมูล ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๔ ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค ๗ พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาข้อนี้ของ โจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้ ให้ประทับฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๓๒๖ ไว้พิจารณาต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๗
สรุป ไม่ผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
089-142-7773 ไลน์ไอดี @laweyers.in.th