Home คดีอาญา หลักเกณฑ์ที่ศาลฎีกาใช้พิจารณา หลักการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

หลักเกณฑ์ที่ศาลฎีกาใช้พิจารณา หลักการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

4455

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4083/2562

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91, 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1292/2559 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่ เป็นรับสารภาพในข้อหามีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน ริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลาง นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1292/2559 ของศาลชั้นต้น ข้อหาอื่นให้ยก

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 อีกกระทงหนึ่ง ให้จำคุก 6 ปี เมื่อรวมกับโทษจำคุกในความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 6 ปี 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ก่อนเกิดเหตุนายสุวิทย์ กลุ่มของผู้ตายไม่พอใจกลุ่มของจำเลยที่ขับรถจักรยานยนต์เร่งเครื่องเสียงดัง จึงตะโกนว่า “ควย” กลุ่มของจำเลยไม่ตอบโต้ แต่พากันขับรถจักรยานยนต์ซึ่งมี 5 ถึง 6 คัน ออกไป กลุ่มของคนตายขับรถกระบะติดตามไป โดยนายพฤกษาเป็นคนขับ นายวิชิตนั่งด้านหน้าข้างคนขับ นายสุวิทย์นั่งด้านหลังคนขับ ถัดมาเป็นผู้ตายและนางสาวพิมลพรรณ เมื่อถึงที่เกิดเหตุขณะจำเลยกับพวกกำลังจะกลับรถที่จุดกลับรถ รถกระบะของผู้ตายชะลอรถแล้วขับเลยกลุ่มของจำเลยไปประมาณ 10 เมตร นายวิชิตเปิดกระจกด้านข้างลงและนั่งบริเวณขอบประตูหยิบขวดเบียร์ขว้างข้ามหลังคารถใส่กลุ่มของจำเลย แต่ไม่ถูกผู้ใด หลังจากนั้นนายวิชิตเอาอาวุธปืนชูขึ้นเหนือศีรษะแล้วยิง 1 นัด แต่กระสุนปืนด้าน จำเลยจึงชักอาวุธปืนออกมาและกระสุนปืนลั่นทะลุกระจกหลังถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย สำหรับความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย คู่ความไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า กระสุนปืนถูกผู้ตายเกิดจากการกระทำโดยเจตนาของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนลูกโม่ โดยสภาพแล้วต้องใช้กำลังเหนี่ยวไกปืนจึงจะยิงได้ไม่อาจลั่นขึ้นเองได้ การที่กระสุนปืนยิงออกไปถูกผู้ตาย แสดงว่าจำเลยชักอาวุธปืนออกมาและยิงไป เมื่อพิจารณาประกอบบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายวีรยุทธและนายศักรินทร์ ระบุว่า ได้ยินเสียงปืนดังหลายนัด เมื่อหันไปทางต้นเสียง เห็นจำเลยถืออาวุธปืนอยู่ในมือ ซึ่งคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวนายวีรยุทธและนายศักรินทร์ได้ให้ปากคำไว้หลังเกิดเหตุไม่นานทั้งยังมีเนื้อหาสอดคล้องตรงกัน ประกอบกับนายวีรยุทธและนายศักรินทร์ต่างก็เป็นเพื่อนกับจำเลยและขับรถจักรยานยนต์มาด้วยกัน จึงไม่มีเหตุต้องระแวงว่าจะให้การปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวจึงมีน้ำหนักรับฟังเชื่อได้ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิง หาใช่กระสุนปืนลั่นเอง ดังที่จำเลยฎีกา ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อมาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 นั้น การกระทำที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ต้องเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หากภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึงเสียแล้วย่อมไม่อาจกระทำการเพื่อป้องกันได้ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังว่านายวิชิตเพียงเอาอาวุธปืนชูขึ้นเหนือศีรษะและยิงขึ้นฟ้า 1 นัด ซึ่งเห็นชัดเจนว่าเป็นการข่มขู่จำเลยกับพวกเท่านั้น การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถกระบะที่นายวิชิตนั่งอยู่ทันที โดยไม่ปรากฏว่านายวิชิตกระทำการอื่นใดอีกในลักษณะจะทำร้ายพวกจำเลยจึงยังถือไม่ได้ว่าภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงเกิดขึ้น อันจะเป็นเหตุให้จำเลยอ้างเหตุป้องกันได้ ที่จำเลยอ้างว่าอาจยิงมาที่ตนจึงยิงไปนั้น เป็นเพียงจำเลยเข้าใจไปเองเกินกว่าสภาพการกระทำของนายวิชิตที่จะให้เข้าใจเช่นนั้นได้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลย ไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย

พิพากษายืน

สรุป การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามความใน ป.อ. มาตรา 68 ต้องเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หากภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึงเสียแล้วย่อมไม่อาจกระทำการเพื่อป้องกันได้ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังว่า ว. เพียงเอาอาวุธปืนชูขึ้นเหนือศีรษะและยิงขึ้นฟ้า 1 นัด ซึ่งเห็นชัดเจนว่าเป็นการข่มขู่จำเลยกับพวกเท่านั้น การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปยังรถกระบะที่ ว. นั่งอยู่ทันที โดยไม่ปรากฏว่า ว. กระทำการอื่นใดในลักษณะจะทำร้ายพวกจำเลยจึงยังถือไม่ได้ว่าภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงเกิดขึ้น อันจะเป็นเหตุให้จำเลยอ้างเหตุป้องกันได้

มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา

โทร 089-142-7773 ไลน์ไอดี @lawyers.in.th

 

Facebook Comments