สัดส่วนความรับผิดกรณีมีจำเลยหลายคน ตามมาตรา44/1 ศาลฎีกาพิจารณาจากอะไรบ้าง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4978/2562
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 288, 289, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบปลอกกระสุนปืนลูกซองและรถจักรยานยนต์ของกลาง นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3784/2559 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 4 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นายจตุภัทร ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมเป็นเงิน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และนางบุญมี มารดาผู้ตายซึ่งเป็นผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมเป็นเงิน 452,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสี่ให้การในส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีอายุ 18 ปีเศษ จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีอายุ 19 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 52 (2) ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 25 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 3 เดือน และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 3 เดือน รวมจำคุกคนละ 25 ปี 6 เดือน คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสี่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 16 ปี 12 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนลูกซองและรถจักรยานยนต์ของกลาง นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 4 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3784/2559 ของศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้เงินให้ผู้ร้องที่ 1 จำนวน 30,000 บาท และผู้ร้องที่ 2 จำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นทั้งสองจำนวนนับแต่วันที่ 20 กันยายน 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งในชั้นนี้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายบุญจง ผู้ตาย และนายจตุภัทร ผู้เสียหาย 1 นัด กระสุนปืนถูกผู้ตายบริเวณขากรรไกร บ่า ไหล่ และคอด้านขวา เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และกระสุนปืนถูกผู้เสียหายบริเวณแขนและไหปลาร้า เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายสาหัส หลังเกิดเหตุร้อยตำรวจเอกวินัย พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรภูสิงห์เดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ ทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุและแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ ต่อมาพันตำรวจโทสุคิด เจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวนนำจำเลยทั้งสี่มาส่งมอบให้ร้อยตำรวจเอกวินัย แล้วจำเลยทั้งสี่ถูกฟ้องกล่าวหาเป็นคดีนี้ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เนื่องจากไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ส่วนความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรของจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละ 2 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาทำนองว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกกระทำความผิดทั้งสองฐานนี้นั้น เท่ากับเป็นการขอให้ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานแตกต่างไปจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 เพียงว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวก กระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหาย นายภูเบศ และนายกิตติรัตน์ เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุนายภูเบศขับรถจักรยานยนต์ มีนายกิตติรัตน์นั่งซ้อนท้าย นำหน้ารถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับ ซึ่งมีผู้เสียหายนั่งซ้อนท้าย ห่างกันประมาณ 15 เมตร จนไปถึงบริเวณสี่แยกบ้านโคกตาล พยานทั้งสามเห็นวัยรุ่นรวมกลุ่มกันประมาณ 10 คน และ มีรถจักรยานยนต์ 5 ถึง 6 คัน จอดอยู่ใกล้กับกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว ขณะนายภูเบศขับรถจักรยานยนต์ผ่านสี่แยกบ้านโคกตาล ชายคนหนึ่งใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า 1 นัด เป็นเหตุให้ผู้ตายจอดรถจักรยานยนต์ห่างจากสี่แยกดังกล่าวประมาณ 15 เมตร เพื่อรอดูเหตุการณ์ ส่วนนายภูเบศเลี้ยวรถไปทางขวา โดยมีชายวัยรุ่น 4 คน ขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ 2 คัน ไล่ติดตามไป แต่ตามไม่ทัน ชายวัยรุ่นดังกล่าวจึงขับรถจักรยานยนต์กลับมารวมกลุ่มที่เดิม แล้วชายวัยรุ่น 6 คน ขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ 3 คัน มุ่งหน้ามาทางผู้ตายและผู้เสียหาย ผู้ตายจึงขับรถจักรยานยนต์หลบหนีย้อนกลับไปทางเดิมตามเส้นทางเลียบคลองส่งน้ำชลประทาน เมื่อไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุ รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับน้ำมันหมด กลุ่มชายวัยรุ่นที่ขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ติดตามผู้ตายและผู้เสียหายมาซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 10 เมตร ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหาย 1 นัด ผู้ตายจอดรถจักรยานยนต์ แล้วผู้ตายและผู้เสียหายต่างวิ่งหลบหนีไปคนละทาง โดยนายภูเบศและนายกิตติรัตน์เบิกความยืนยันว่า เห็นจำเลยทั้งสี่ นายณัฐวุฒิ และนายผดุงศักดิ์ อยู่ในกลุ่มวัยรุ่นซึ่งรวมกันอยู่ที่บริเวณสี่แยกบ้านโคกตาลด้วย แม้ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน แต่บริเวณที่เกิดเหตุเป็นสี่แยกมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่ที่ซุ้มประตูหมู่บ้านและเสาไฟฟ้าสาธารณะ สามารถมองเห็นได้ชัดเจน หลังเกิดเหตุนายภูเบศและนายกิตติรัตน์พยานโจทก์ทั้งสองก็ให้การต่อพันตำรวจโทสุคิดผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสี่ว่า ผู้ก่อเหตุคือวัยรุ่นบ้านมะขามหลายคน จำหน้าวัยรุ่นบางคนและรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุได้ จนทำให้พันตำรวจโทสุคิดสามารถติดตามจับกุมจำเลยทั้งสี่กับพวกได้ โดยโจทก์มีพันตำรวจโทสุคิดเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกวินัย พนักงานสอบสวน ว่า ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 3 กับพวกได้นำชี้ที่เกิดเหตุแล้วให้พยานโจทก์ถ่ายรูปไว้ บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวมีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 3 พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 กับพวก สาเหตุที่จำเลยที่ 3 กับพวกกระทำความผิดตลอดจนขั้นตอนในการกระทำความผิด สอดคล้องกับภาพถ่ายประกอบคดี และคำเบิกความของผู้เสียหาย นายภูเบศ และนายกิตติรัตน์ในสาระสำคัญ ซึ่งอยู่ในความรู้เห็นของจำเลยที่ 3 เอง จำเลยที่ 3 ให้การหลังเกิดเหตุเพียง 3 วัน จำเลยที่ 3 ยังไม่มีเวลาคิดบิดเบือนข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น เชื่อว่าจำเลยที่ 3 ให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจตามความเป็นจริง ไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์เหล่านี้เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 มาก่อน โดยเฉพาะพันตำรวจโทสุคิดและร้อยตำรวจเอกวินัยเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์ทั้งห้าจะเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 3 ให้ต้องรับโทษ เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งห้า เบิกความตามความเป็นจริง คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวมีน้ำหนักน่าเชื่อถือควรแก่การรับฟัง ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 มิได้ร่วมกระทำความผิดคดีนี้ด้วย เนื่องจากแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุที่พนักงานสอบสวนจัดทำขึ้นมิได้ระบุว่า มีแสงไฟในบริเวณที่เกิดเหตุ และไม่ปรากฏพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยที่ 3 ในบันทึกการรับมอบตัว/ตรวจยึด และพนักงานสอบสวนนำเอกสารมาให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อโดยไม่ได้อ่านให้จำเลยที่ 3 ฟังนั้น ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุมีวัยรุ่นบ้านลุมพุกมาก่อกวนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวก พวกของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงโทรศัพท์เรียกจำเลยที่ 1 กับพวกมารวมตัวกันประมาณ 10 คน โดยพวกของจำเลยทั้งสี่บางคนพาอาวุธปืนมาด้วย เมื่อถึงจุดนัดพบก็ได้ร่วมกันวางแผนแบ่งกำลัง โดยบางส่วนดักรอพวกผู้เสียหายที่ปากซอยทางเข้าบ้านโคกทุ่งล้อม ส่วนที่เหลือไล่ติดตามพวกผู้เสียหายไปตามถนนเลียบคลองส่งน้ำชลประทาน เมื่อผู้ตายและผู้เสียหายขับและนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาถึงสี่แยกบ้านโคกตาล เห็นจำเลยทั้งสี่กับพวกรวมกลุ่มกัน ผู้ตายจึงจอดรถจักรยานยนต์แล้วเลี้ยวรถกลับเพื่อหลบหนี จำเลยที่ 4 กับพวกขับรถจักรยานยนต์ไล่ติดตามไปโดยมีจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกไล่ติดตามไปด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 กับพวกจอดรถรอที่ซุ้มประตูบ้านโคกตาลเพื่อคอยดูเส้นทางให้จำเลยที่ 4 กับพวก เมื่อผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุ รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับน้ำมันหมด เครื่องยนต์สะดุด จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกที่ขับรถจักรยานยนต์ติดตามไปร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหาย 1 นัด แล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกขับรถจักรยานยนต์หลบหนีกลับเส้นทางเดิม ดังนี้ แม้จำเลยที่ 3 ร่วมกันวางแผนสมคบกันกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกเพื่อที่จะกระทำความผิด โดยจำเลยที่ 3 มีส่วนรู้เห็นมาตั้งแต่ต้น แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยที่ 3 คงจอดรถรอที่ซุ้มประตูบ้านโคกตาลเพื่อคอยดูเส้นทางให้จำเลยที่ 4 กับพวกเท่านั้น มิได้ร่วมขับรถจักรยานยนต์ไล่ติดตามรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับไปก่อเหตุกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวก บริเวณที่จำเลยที่ 3 จอดรถคอยดูเส้นทางให้ มิได้อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุในลักษณะที่จำเลยที่ 3 พร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกในขณะกระทำความผิดได้ในทันที จึงไม่ใช่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำอันจะเป็นตัวการในการกระทำความผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นเพียงการช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกกระทำความผิด จำเลยที่ 3 คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเท่านั้น และแม้จำเลยที่ 3 มิได้ฎีกาในเรื่องค่าสินไหมทดแทน ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้แก่ผู้ร้องที่ 1 และผู้ร้องที่ 2 แต่ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว เป็นค่าสินไหมทดแทนที่ศาลต้องกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด จำเลยที่ 3 จึงควรต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่ 1 และผู้ร้องที่ 2 ตามสัดส่วนของการกระทำความผิด เห็นควรให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องที่ 1 และผู้ร้องที่ 2 จำนวน 20,000 บาท และ 200,000 บาท ตามลำดับ ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้ออื่นนอกจากนี้ไม่เป็นสาระสำคัญ อันจะทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่ได้มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม เป็นการไม่ชอบ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะจำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 86, 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 52 (2) แล้ว จำคุก 16 ปี 8 เดือน ลดโทษให้จำเลยที่ 3 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 11 ปี 1 เดือน 10 วัน เมื่อรวมกับความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว เป็นจำคุก 11 ปี 5 เดือน 10 วัน กับให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่ 1 และผู้ร้องที่ 2 เพียงจำนวน 20,000 บาท และ 200,000 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กันยายน 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3
สรุป
แม้จำเลยที่ 3 ร่วมกันวางแผนกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกเพื่อกระทำความผิด โดยจำเลยที่ 3 มีส่วนรู้เห็นมาตั้งแต่ต้น แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยที่ 3 จอดรถรอที่ซุ้มประตูบ้านโคกตาลเพื่อคอยดูเส้นทางให้จำเลยที่ 4 กับพวกเท่านั้น มิได้ร่วมขับรถจักรยานยนต์ไล่ติดตามรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับ บริเวณที่จำเลยที่ 3 จอดรถคอยดูเส้นทางให้ มิได้อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุในลักษณะที่จำเลยที่ 3 พร้อมที่จะเข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกในขณะกระทำความผิดได้ในทันที จึงไม่ใช่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำอันจะเป็นตัวการในการกระทำความผิดได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นเพียงการช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 กับพวกกระทำความผิด จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเท่านั้น และแม้จำเลยที่ 3 มิได้ฎีกาเรื่องค่าสินไหมทดแทน ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นเพื่อชดใช้แก่ผู้ร้องที่ 1 และที่ 2 แต่ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวเป็นค่าสินไหมทดแทนที่ศาลต้องกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด จำเลยที่ 3 จึงควรต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องที่ 1 และที่ 2 ตามสัดส่วนของการกระทำความผิด
สรุปสั้น ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวเป็นค่าสินไหมทดแทนที่ศาลต้องกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
โทร 089-142-7773