คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2840/2550
ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตร ระบุว่า บัตรเครดิตนี้ธนาคารได้ออกให้และสงวนไว้เฉพาะผู้ถือบัตรเท่านั้น ห้ามมิให้ผู้ถือบัตรยินยอมอนุญาต หรือนำบัตรเครดิตไปให้บุคคลอื่นใช้ ดังนั้นกรณีที่มีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ที่ออกให้แก่จำเลยไปใช้ชำระค่าสินค้าและค่าบริการแก่สถานประกอบกิจการและร้านค้าเป็นการใช้บัตรเครดิตซึ่งมิได้เป็นไปโดยถูกต้องตามประเพณีปฏิบัติและ/หรือเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของโจทก์จำเลยซึ่งเป็นผู้ถือบัตรเครดิตจะต้องรับผิดชำระหนี้อันเกิดจากการที่มีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ต่อเมื่อจำเลยได้ยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้ การที่บัตรเครดิตของจำเลยถูกคนร้ายลักไปย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยมิได้ยินยอมอนุญาตหรือนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปให้บุคคลอื่นใช้ตามข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตแต่อย่างใดจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ที่บุคคลอื่นนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้
***ต่อมาทางสถาบันการเงินต่างๆ จึงเพิ่มข้อสัญญาในการเปิดใช้บัตรเครดิต ว่าเจ้าของบัตรจะต้องรับผิดชดใช้แม้ว่าบัตรนั้นจะสูญหายหรือถูกลักไปใช้ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2552
ข้อสัญญานั้น เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เจ้าของบัตรไม่ต้องรับผิดอยู่ดี โดยเหตุผลว่า…เป็นการเอาเปรียบจำเลยเกินสมควร และเป็นการผลักภาระให้จำเลยต้องรับผิดเกินกว่าวิญญูชนทั่วไปจะคาดหมายได้ตามปกติ อันเข้าลักษณะข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม สรุปก็คือกรณีที่บัตรถูกลักไปใช้ เจ้าของบัตรไม่ต้องรับผิดชอบชำระเงินให้แก่ธนาคารเจ้าของบัตรเครดิต
ศาลฎีกาได้พิจารณาเงื่อนไขและข้อกำหนดการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ว่าเป็นข้อสัญญาที่เป็นธรรมหรือไม่ โดยศาลฎีกาได้พิจารณาเห็นว่าข้อกำหนดข้อ 8 ที่ให้จำเลยเป็นผู้รับผิดชอบในกรณีบัตรสูญหายหรือถูกโจรกรรมก่อนที่จะแจ้งอายัดบัตรกับธนาคารนั้น ขัดแย้งกันเองกับข้อกำหนดในข้อ 6 ที่บอกไว้ว่า ธนาคารจะระงับการเรียกเก็บเงินจากผู้ถือบัตร หากผู้ถือบัตรปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าหรือไม่ได้เป็นผู้รับบริการ อีกทั้งโจทก์ยังมีช่องทางอื่นในการแก้ไขความเสียหายของโจทก์ได้ เนื่องจากหากโจทก์ทำการตรวจสอบว่าลายมือชื่อของผู้ใช้บัตรในเซลล์สลิปไม่ตรงกับลายมือที่แท้จริงของจำเลยซึ่งเป็นผู้ถือบัตร โจทก์ก็สามารถไปไล่เบี้ยเอากับร้านเจมาร์ทแทนการมาเรียกเก็บหนี้จากจำเลยได้ ร้านเจมาร์ทเองก็ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบลายมือชื่อในเซลล์สลิปก่อน ซึ่งหากลายมือชื่อไม่ตรงก็มีสิทธิปฏิเสธไม่รับบัตรเครดิตได้อยู่แล้ว ศาลฎีกาจึงตัดสินให้จำเลยไม่มีความผิดไม่ต้องชำระหนี้ให้กับโจทก์ เนื่องจากข้อตกลงเงื่อนไขการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 นั้นไม่เป็นธรรม
แนะนำ
ทันทีที่ทราบว่าบัตรเครดิตหายหรือถูกขโมยไป ให้โทรแจ้งอายัดบัตรเครดิตกับธนาคารผู้ออกบัตรทันทีเพื่อให้ธนาคารระงับการใช้บัตรเครดิตก่อนที่จะมีความเสียหายเกิดขึ้น และเดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดเพื่อเป็นหลักฐานไว้ด้วย
สรุป
บัตรเครดิตสูญหายผู้ถือบัตรไม่ต้องรับผิดชอบในจำนวนหนี้ที่เราไม่ได้ก่อขึ้น
ปรึกษาทีมงานทนายความ
ทนายอธิป 061-939-9935
ทนายเบส 091-939-4249
ทนายหนึ่ง 084-444-8952
ทนายตี๋ใหญ่ 088-021-7716