ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 144 เมื่อศาลใดมีคำพิพากษา หรือคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีแล้ว ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วนั้น
คำพิพากษาฎีกาที่ 6189/2561
คดีก่อนที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยเรื่องผิดสัญญาเช่าซื้อมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่ และต้องคืนรถยนต์คันที่เช่าซื้อพร้อมกับชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่เพียงใด ส่วนคดีนี้มีประเด็นว่า จำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อนำความอันเป็นเท็จมาฟ้องโจทก์อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์และต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่เพียงใด แต่การวินิจฉัยว่าจำเลยนำความอันเป็นเท็จมาฟ้องโจทก์อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยก็สืบเนื่องมาจากมูลฐานและข้ออ้างเดียวกันคือ โจทก์ผิดสัญญาเช่าซื้อหรือไม่ ซึ่งในคดีก่อนศาลก็ได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ผิดสัญญาเช่าซื้อและคดีถึงที่สุดแล้ว โดยในคดีนี้โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์ส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนจำเลยแล้ว สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นอันเลิกกัน แต่ต่อมามีผู้ปลอมหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไปไถ่ถอนรถยนต์คันที่เช่าซื้อออกมาใช้ ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าว โจทก์ย่อมสามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การคดีก่อนได้ ทั้งเหตุตามที่โจทก์กล่าวอ้างก็เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยจะฟ้องโจทก์เป็นคดีก่อนแล้ว แต่โจทก์หาได้ยกขึ้นต่อสู้ไม่ เมื่อแพ้คดีแล้วจึงกลับมาอ้างเหตุที่ตนมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคดีก่อนรื้อร้องฟ้องกันอีก ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ
สรุป
คดีก่อนศาลวินิจฉัยว่าผู้เช่าซื้อผิดสัญญาเช่าซื้อ ต่อมาผู้เช่าซื้อฟ้องผู้ให้เช่าซื้อว่าจงใจนำความเท็จมาฟ้องอันเป็นการละเมิด ถือเป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก็สืบเนื่องมาจากมูลฐานและข้ออ้างเดียวกันคือ โจทก์ผิดสัญญาเช่าหรือไม่ ถือเป็นเรื่องเดียวกันเป็นฟ้องซ้ำ
ปรึกษาทีมงานทนายความ
ทนายอธิป 061-939-9935
ทนายเบส 091-939-4249
ทนายหนึ่ง 084-444-8952
ทนายไผ่ 095-781-9477
ทนายตี๋ใหญ่ 088-021-7716