ออกประกาศแจ้งว่าใช้เอกสารปลอมสมัครงาน ผิดหมิ่นประมาทหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวพนิดา ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328 จำคุก 6 เดือน และปรับ 15,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน และปรับ 10,000 บาท จำเลยไม่เคยรับโทษทางอาญาใดๆ มาก่อน รวมทั้งมีตำแหน่งหน้าที่การงาน ทำงานเพื่อสังคมส่วนรวม เห็นควรให้โอกาสจำเลยปรับปรุงตนเอง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ในเรื่องนี้แม้ฝ่ายโจทก์จะมีตัวโจทก์ร่วม นางสาวสุคนธา ซึ่งเคยทำงานอยู่ที่องค์การบริหารส่วนตำบลสระกระเทียม และนางบุญตา มารดาของโจทก์ร่วมเป็นพยาน โดยต่างเบิกความยอมรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมและนางสาวสุคนธามิได้ผ่านการอบรมหลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการ ดังปรากฏในประกาศนียบัตรแต่เป็นเรื่องที่จำเลยประสงค์จะทำประกาศนียบัตรขึ้น เพื่อช่วยเหลือนายสุพจน์ ที่มีวุฒิการศึกษาไม่ตรงกับที่หน่วยงานใหม่รับสมัครงานเช่น องค์การบริหารส่วนตำบลวังน้ำเขียว ซึ่งได้แจ้งว่าหากนายสุพจน์ต้องการสมัครงาน จะต้องผ่านการอบรมคอมพิวเตอร์ของหน่วยราชการมาก่อน จำเลยจึงออกประกาศนียบัตรให้แก่นายสุพจน์ แล้วต่อมาจำเลยจึงทำประกาศนียบัตรมอบให้โจทก์ร่วมและลูกจ้างคนอื่นอีก 5 ถึง 6 คน และยินยอมให้โจทก์ร่วมนำประกาศนียบัตร ไปใช้ประกอบการสมัครงานที่จังหวัดราชบุรี หลังจากสมัครงานแล้ว จำเลยกลับสั่งให้โจทก์ร่วมกับพวกนำประกาศนียบัตร มาคืนและไม่ให้นำไปใช้ แต่เนื่องจากโจทก์ร่วมนำเอกสารดังกล่าวไปใช้ในการสมัครงานที่จังหวัดราชบุรีแล้ว ทำให้โจทก์ร่วมไม่สามารถนำต้นฉบับเอกสารคืนให้แก่จำเลยได้ และโจทก์ร่วมก็อ้างว่าโจทก์ร่วมมิใช่เป็นผู้ปลอมประกาศนียบัตรนั้น จำเลยได้นำสืบต่อสู้โดยมีนายสุทิน รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลสระกระเทียม นางสาวอภิเศก ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลสระกระเทียม เป็นพยานต่างเบิกความโต้แย้งพยานฝ่ายโจทก์ว่า จำเลยไม่เคยสั่งให้มีการเปิดอบรมหลักสูตรคอมพิวเตอร์ซึ่งจัดโดยองค์การบริหารส่วนตำบลสระกระเทียม และประกาศนียบัตรรับรองว่ามีการอบรมคอมพิวเตอร์ซึ่งจัดโดยองค์การบริหารส่วนตำบลสระกระเทียมนั้นเป็นเอกสารราชการที่มีการทำปลอมขึ้น โดยจำเลยและนายสุทินมิใช่ ผู้ที่ลงลายมือชื่อในประกาศนียบัตรดังกล่าว แต่ลายมือชื่อในประกาศนียบัตรนั้น เป็นลายมือชื่อปลอม และจำเลยได้ยินพนักงานขององค์การบริหารส่วนตำบลสระกระเทียมพูดในทำนองว่ามีการปลอมประกาศนียบัตรอบรมคอมพิวเตอร์ขึ้น และโจทก์ร่วมนำเอกสารไปสมัครงานที่จังหวัดราชบุรี จากการสอบสวนข้อเท็จจริงจำเลยเชื่อว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ปลอมเอกสารขึ้น จึงทำแถลงการณ์เรื่องการชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในการดำเนินการขององค์การบริหารส่วนตำบลสระกระเทียม และที่กล่าวปราศรัยพาดพิงไปถึงโจทก์ร่วมนั้น ก็เนื่องจากจำเลยเชื่อว่าโจทก์ร่วมเป็นคนทำปลอมประกาศนียบัตรเอกสารขึ้น โดยจำเลยมิได้เป็นผู้ทำเอกสารดังกล่าวหรือลงลายมือชื่อแต่อย่างใด ซึ่งในเรื่องนี้โจทก์ร่วมเองก็ยอมรับว่าโจทก์ร่วมมิได้ผ่านการอบรมหลักสูตรคอมพิวเตอร์จากองค์การบริหารส่วนตำบลสระกระเทียม ทั้งโจทก์ร่วมยังเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์ร่วมให้ถ้อยคำ ชั้นสอบสวนข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมกับพวกเป็นผู้จัดทำแบบฟอร์มใบประกาศนียบัตรรับรองการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านคอมพิวเตอร์ แต่โจทก์ร่วมปฏิเสธว่าไม่ใช่ผู้ลงลายมือชื่อในประกาศนียบัตรดังกล่าว และโจทก์ร่วมตอบทนายโจทก์ร่วมถามติงว่า แบบฟอร์มประกาศนียบัตรที่โจทก์ร่วมกับพวกจัดทำขึ้น ได้ตัวอย่างมาจากแบบฟอร์มประกาศนียบัตรของผู้ที่เคยไปรับการอบรมมาจากจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเท่ากับว่าโจทก์ร่วมเองก็ยอมรับว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการทำประกาศนียบัตรปลอมตามเอกสารนอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่าจำเลยได้สั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโจทก์ร่วมในเรื่องการกระทำผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสารประกาศนียบัตร และมีการตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ร่วมในเรื่องการปลอมประกาศนียบัตรเอกสารด้วย และยังได้ความจากนางสาวอภิเศก ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลสระกระเทียมและนางสาวอรทัย ข้าราชการขององค์การบริหารส่วนตำบลสระกระเทียม ซึ่งเป็นกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปลอมเอกสารใบประกาศนียบัตร โดยมีโจทก์ร่วมเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ว่าผลการสรุปสำนวนสอบสวนปรากฏว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ทำปลอมและมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำปลอมเอกสารประกาศนียบัตรดังกล่าวขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้โจทก์ร่วมเองก็ยอมรับว่าตนถูกตั้งกรรมการสอบสวนในเรื่องที่กล่าวหาว่าโจทก์ร่วมกระทำผิดวินัยโดยการปลอมประกาศนียบัตร ซึ่งเป็นความผิดทางอาญาและเป็นความผิดต่อวินัยข้าราชการด้วย เช่นนี้ แม้โจทก์ร่วมจะเบิกความยืนยันว่าตนเองมิได้เป็นผู้ทำปลอมเอกสารดังกล่าวขึ้นและไม่ทราบผลการสอบสวนว่าในที่สุดแล้วจะมีการสรุปผลการสอบสวนอย่างไร แต่ข้อเท็จจริงแห่งคดีนั้นยังไม่ชัดแจ้งว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้บริสุทธิ์จากการถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยโดยการปลอมประกาศนียบัตร การที่จำเลยออกแถลงการณ์เป็นหนังสือแจกจ่ายแก่ประชาชนก็ดี และการที่จำเลยประกาศด้วยการใช้เครื่องขยายเสียงให้ประชาชนซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุทราบถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็ดี แม้ข้อความนั้นจะมีลักษณะน่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง แต่การกระทำของจำเลยมีเหตุให้เชื่อตามผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบสวนที่มีความเห็นเชื่อว่าโจทก์ร่วมทำปลอมประกาศนียบัตร จึงถือได้ว่าจำเลยแสดงความคิดเห็นหรือแสดงข้อความโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน