หลักการนับอายุความในคดีเช็คในคดีแพ่งศาลฎีกาวางหลักไว้อย่างไร
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของสมาคมจัดการชำระหนี้แก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 5 กับที่ 6 ร่วมกันชำระหนี้จำนวน 146,641.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 130,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กองทุนวิชาชีพวิทยุโทรทัศน์ภาคประชาชนศรีอยุธยา ชำระเงินจำนวน 146,641.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 130,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ (ฟ้องวันที่ 8 มีนาคม 2560) ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของสมาคมดังกล่าวใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 5 และที่ 6 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า นางพิมพ์ เป็นสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์กองทุนวิชาชีพวิทยุโทรทัศน์ภาคประชาชนศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อนางพิมพ์ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 5 และที่ 6 กรรมการผู้มีอำนาจของสมาคมร่วมกันลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาตลาดหัวรอ ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2558 สั่งจ่ายเงินจำนวน 130,000 บาท เพื่อชำระเงินสงเคราะห์ส่วนที่เหลือแก่โจทก์ผู้รับประโยชน์ เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2558 ต่อมานายทะเบียนฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่มีคำสั่งให้ยกเลิกสมาคม เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2558 และแต่งตั้งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นผู้ชำระบัญชี วันที่ 27 มิถุนายน 2559 โจทก์ฟ้องสมาคมกับจำเลยที่ 5 และที่ 6 เพื่อเรียกเงินตามเช็คเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 17/2560 ของศาลชั้นต้น ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องสมาคม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องจำเลยที่ 5 และที่ 6 จำหน่ายคดีจำเลยทั้งหมดจากสารบบความ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2560
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์ฟ้องสมาคมเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 17/2560 ของศาลชั้นต้นอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (2) แต่ในคดีดังกล่าว โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องสมาคมโดยอ้างว่าเพิ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่านายทะเบียนฌาปนกิจสงเคราะห์ประจำท้องที่มีคำสั่งให้ยกเลิกสมาคมและตั้งผู้ชำระบัญชีแล้ว โจทก์จึงมีความประสงค์ขอถอนฟ้องสมาคมเพื่อนำมูลคดีนี้ไปฟ้องผู้ชำระบัญชีของสมาคม ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องสมาคม แต่โจทก์ยื่นฟ้องภายหลังจากที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้ยกเลิกสมาคมและมีการแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีแล้ว ผู้ชำระบัญชีมีอำนาจแก้ต่างว่าต่างในนามสมาคม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องสมาคม ดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องสมาคมแทนที่จะฟ้องผู้ชำระบัญชีของสมาคมจึงเป็นความบกพร่องของโจทก์ที่ฟ้องผิดตัว เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องสมาคมและศาลจำหน่ายคดี กรณีจึงถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลงตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง อายุความสำหรับฟ้องคดีนี้เพื่อให้จำเลยที่ 1 ผู้ชำระบัญชีชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงจึงต้องนับแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2558 ซึ่งเป็นวันที่เช็คถึงกำหนดโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2560 พ้นกำหนด 1 ปี ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 ฟ้องจึงขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 1 ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
สรุปในคดีก่อนโจทก์ยื่นฟ้องสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ก. เป็นจำเลย ภายหลังจากนายทะเบียนมีคำสั่งให้เลิกสมาคมและตั้งผู้ชำระบัญชีแล้ว การฟ้องของโจทก์จึงเป็นการฟ้องผิดตัว เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องสมาคมเพื่อนำมูลหนี้ไปฟ้องผู้ชำระบัญชีของสมาคมโดยศาลชั้นต้นมีสั่งจำหน่ายคดี กรณีจึงถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคหนึ่ง โจทก์นำคดีมาฟ้องใหม่เป็นคดีนี้โดยฟ้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ชำระบัญชีให้ชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง การนับอายุความจึงต้องเริ่มนับแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2558 ซึ่งเป็นวันที่เช็คถึงกำหนด โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2560 พ้นกำหนด 1 ปี ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1002 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ