หลักการที่ศาลฎีการับฟังพยานบอกเล่าในคดีเช็ค
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยปฏิเสธว่าการสั่งจ่ายเช็คพิพาทมิใช่เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงจะครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 แต่ข้อนำสืบของโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระค่าจ้างออกแบบและก่อสร้างเตาเผาขยะนั้น ปรากฏว่าตัวโจทก์ซึ่งเป็นพยานโดยตรงก็มิได้มาเบิกความต่อศาลเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว พยานโจทก์มีเพียงปากเดียวคือนายยรรยง ผู้รับมอบอำนาจโจทก์มาเบิกความว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระค่าจ้างออกแบบและก่อสร้างเตาเผาขยะ แต่เมื่อพยานถูกทนายจำเลยถามค้าน พยานเบิกความยอมรับว่า พยานไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการว่าจ้างรวมถึงการพูดคุยตกลงกันระหว่างโจทก์กับจำเลย พยานทราบเรื่องภายหลังจากที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้นำเช็คไปขึ้นเงินแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเท่านั้น แสดงว่าพยานโจทก์ปากนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ รวมถึงรายละเอียดมูลหนี้ของเช็คพิพาท แต่พยานทราบเรื่องดังกล่าวจากการบอกเล่าของโจทก์ในภายหลัง พยานมิได้รู้เห็นข้อเท็จจริงที่เบิกความด้วยตนเองจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งไม่มีน้ำหนักในการรับฟังที่โจทก์ฎีกาว่า นายยรรยง พยานโจทก์ปากนี้มิใช่เป็นพยานบอกเล่า แต่เป็นประจักษ์พยานที่รู้เห็นการตกลงและรายละเอียดเกี่ยวกับการว่าจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยนั้น ก็ไม่ปรากฏว่านายยรรยงได้เบิกความยืนยันเช่นนั้น พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมายังไม่เพียงพอให้ฟังได้ว่าจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามฟ้องซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
สรุป
เมื่อจำเลยปฏิเสธว่าการสั่งจ่ายเช็คพิพาทมิใช่เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงจะครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 เมื่อพยานโจทก์ทราบเรื่องภายหลังจากที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้นำเช็คไปขึ้นเงินแล้ว ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเท่านั้น แสดงว่าพยานโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ รวมถึงรายละเอียดมูลหนี้ของเช็คพิพาท แต่พยานทราบเรื่องดังกล่าวจากการบอกเล่าของโจทก์ในภายหลัง พยานมิได้รู้เห็นข้อเท็จจริงที่เบิกความด้วยตนเองจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง