การกระทำใดที่ถือว่าเป็นความผิด อันเกิดจากการใช้เช็ค
การใช้เช็ค ซึ่งจะมีผลเป็นความผิดทางอาญานั้นมีบัญญัติอยู่ในมาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับความรับผิด ทางอาญาของผู้ออกเช็คหรือสั่งจ่ายเช็คหรือผู้ใช้เซ็คไว้ดังนี้
มาตรา 4 ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีลักษณะหรือมี
การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น (2) ในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ (3) ให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึง ให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น
(4) ถอนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนออกจากบัญชีอันจะพึงให้ ใช้เงินตามเช็คจนจำนวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คนั้นได้
(5) ห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้า ธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน หกหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
เพื่อความเข้าใจที่ง่ายควรแยกองค์ประกอบความผิดทางอาญาอันเกิดจากการใช้ เช็คดังนี้
1. ผู้ใดออกเช็ค
2. เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย คือ
3. โดยมีลักษณะหรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ด้วย
3.1 เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น
3.2 หรือในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้
3.3 หรือให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงิน ได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น
3.4 หรือถอนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนออกจากบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินตาม เช็คจนจำนวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คนั้นได้
3.5 หรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต
4. เมื่อได้มีการยื่นเช็คนั้นเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่ธนาคารปฏิเสธ ไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น
ผู้ที่กระทำการเข้าลักษณะหรือองค์ประกอบทั้ง 4 ประการดังกล่าว ผู้นั้นก็มีความผิด ทางอาญาข้อหากระทำความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค และมีโทษตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 4 คือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ สาระสำคัญขององค์ ประกอบทั้ง 4 ประการดังกล่าวนั้น มีเนื้อหารายละเอียดที่ต้องอธิบายดังต่อไปนี้