-
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญาเป็นเงินจำนวน500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ขอให้บังคับให้นำที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 2002 และ 2003 ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญา
จำเลยให้การว่า คดีนี้เป็นคดีเรียกค่าจ้างว่าความมีอายุความไม่เกิน 2 ปี ศาลได้พิพากษาในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม2535 แต่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2537 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมนายเดชทรงพล โภโตเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินซึ่งโจทก์คดีนี้รับเป็นทนายความแก้ต่างให้จำเลยตามสัญญารับจ้างว่าความเอกสารหมายจ.1 ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม2535 คดีถึงที่สุดแต่จำเลยยังมิได้ชำระหนี้ค่าว่าความแก่โจทก์ตามสัญญาดังกล่าว โจทก์ส่งหนังสือลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2537 บอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้ภายใน 10 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวตามเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งจำเลยได้รับเอกสารหมาย จ.2 เมื่อวันที่16 กรกฎาคม 2537 ตามใบตอบรับเอกสารหมาย จ.3 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี แล้วหรือไม่ซึ่งโจทก์ฎีกาว่า สัญญารับจ้างว่าความระหว่างโจทก์จำเลยตามเอกสารหมาย จ.1 มีข้อความระบุว่าจำเลยจะชำระค่าว่าความแก่โจทก์ต่อเมื่อจำเลยขายที่ดินทั้งสองแปลงที่ระบุไว้ในสัญญาโดยจะขายโดยเร็วหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว ดังนั้นตราบใดที่จำเลยยังมิได้ขายที่ดินของจำเลยโจทก์ยังไม่อาจบังคับเรียกร้องของโจทก์แก่จำเลยได้อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี อันเป็นเวลาพอสมควรแล้ว จำเลยยังขายที่ดินไม่ได้ โจทก์จึงทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ภายใน 10 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือทวงถามโดยจำเลยได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2537 ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2537คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีเมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2535ใช้บังคับ ดังนั้น คดีนี้จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่มีการตรวจชำระใหม่ และสัญญาที่โจทก์รับจ้างว่าความแก่จำเลยตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งการเริ่มนับอายุความในการเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าว่าความมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12ว่า “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป” และมาตรา 602 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “อันสินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ” โดยการที่ทำในคดีนี้คือการที่โจทก์เป็นทนายความว่าความแก้ต่างแก่จำเลยในศาลชั้นต้นและจำเลยจะต้องใช้สินจ้างแก่โจทก์เมื่อรับมอบการที่ทำ กรณีนี้ก็คือเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว แสดงว่าโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องจากจำเลยได้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว ส่วนที่สัญญาจ้างว่าความเอกสารหมาย จ.1 ระบุไว้ว่าจำเลยตกลงจะได้ทำการขายที่ดินโดยเร็วโดยตั้งราคาไว้เป็นเงิน 3,500,000 บาท ซึ่งจำเลยผู้ว่าจ้างตกลงจะจ่ายเป็นค่าจ้างว่าความให้โจทก์เป็นเงิน 500,000บาท หากขายได้ราคาต่ำกว่าข้างต้น จำเลยตกลงจะจ่ายเป็นค่าจ้างว่าความเท่ากับ 10 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนเงินที่ขายที่ดินดังกล่าวได้ทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะขายที่ดินได้เท่าใด ค่าจ้างว่าความจะไม่ต่ำกว่า 280,000 บาทนั้น เป็นแต่เพียงการกำหนดจำนวนค่าจ้างว่าความว่าควรจะเป็นเท่าใดเท่านั้น โดยถือเอาจำนวนราคาขายที่ดินที่พิพาทในคดีที่ว่าจ้างเป็นตัวกำหนด แต่หากกำหนดไม่ได้ก็ต้องถือว่าค่าจ้างว่าความมีจำนวน 280,000 บาทเท่านั้น โดยมิได้มีกำหนดเวลาชำระค่าจ้างว่าความไว้ในสัญญาจ้างว่าความเอกสารหมาย จ.1 แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ทำการตามสัญญาจ้างว่าความตามเอกสารหมาย จ.1 เสร็จสิ้น คือ ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วสิทธิที่โจทก์จะเรียกเอาสินจ้างย่อมเกิดขึ้นทันที ฉะนั้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกเอาค่าจ้างว่าความจากจำเลยจึงต้องเริ่มนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีคือวันที่ 31 กรกฎาคม 2535 เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยในวันที่ 5 กันยายน 2537 อันเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 ปีนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้ว ฟ้องของโจทก์ย่อมขาดอายุความที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน
- สรุป
- สัญญาที่โจทก์รับจ้างว่าความแก่จำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งการเริ่มนับอายุความในการเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าว่าความนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/12กำหนดให้อายุความเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปและมาตรา602วรรคหนึ่งกำหนดให้สินจ้างพึงใช้เมื่อรับมอบการที่ทำการที่โจทก์เป็นทนายความว่าความแก้ต่างแก่จำเลยในศาลชั้นต้นและจำเลยจะต้องใช้สินจ้างแก่โจทก์เมื่อรับมอบการที่ทำก็คือเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วแสดงว่าโจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องจากจำเลยได้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วส่วนที่สัญญาจ้างว่าความระบุว่าจำเลยตกลงจะขายที่ดินโดยเร็วโดยตั้งราคาไม่เป็นเงิน3,500,000บาทซึ่งจำเลยจะจ่ายเป็นค่าจ้างว่าความให้โจทก์500,000บาทหากขายได้ราคาต่ำกว่าข้างต้นจำเลยจะจ่ายเป็นค่าจ้างว่าความเท่ากับ10เปอร์เซ็นของจำนวนเงินที่ขายที่ดินได้ทั้งหมดแต่ไม่ว่าจะขายที่ดินได้เท่าใดค่าจ้างว่าความจะไม่ต่ำกว่า280,000บาทนั้นเป็นแต่เพียงการกำหนดจำนวนค่าจ้างว่าความว่าความว่าควรจะเป็นเท่าใดเท่านั้นโดยถือเอาจำนวนราคาขายที่ดินที่พิพาทในคดีที่ว่าจ้างเป็นตัวกำหนดแต่หากกำหนดไม่ได้ก็ต้องถือว่าค่าจ้างว่าความมีจำนวน280,000บาทโดยมิได้มีกำหนดเวลาชำระค่าจ้างว่าความไว้ในสัญญาจ้างว่าความแต่อย่างใดดังนั้นเมื่อโจทก์ทำการตามสัญญาจ้างว่าความเสร็จสิ้นคือศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วสิทธิที่โจทก์จะเรียกเอาสินจ้างย่อมเกิดขึ้นทันทีสิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการเรียกเอาค่าจ้างว่าความจากจำเลยจึงต้องเริ่มนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีคือวันที่31กรกฎาคม2535โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยวันที่5กันยายน2537เป็นระยะเวลาเกินกว่า2ปีนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความ