หลอกลวงว่าเป็นหัวหน้าวงแชร์ แล้วนำแชร์มาขาย มีความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงโจทก์แสดงข้อความเป็นเท็จว่าจำเลยเป็นหัวหน้าจัดตั้งวงแชร์รายวัน จำเลยมีแชร์อยู่ ต้องการขายให้โจทก์เป็นเงิน 7,000 บาท เมื่อโจทก์รับซื้อแล้ว จำเลยจะส่งเงินแทนโจทก์ โดยโจทก์จะได้ดอกเบี้ย หากต้องการประมูลเมื่อใดก็ประมูลได้ โจทก์หลงเชื่อและรับซื้อ จึงจ่ายเงินให้จำเลยไป 7,000 บาท ต่อมาปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ตั้งวงแชร์ โจทก์ทวงถามเอาเงินคืนจำเลยไม่มีเงินให้ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 และขอบังคับให้จำเลยคืนเงินให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว สั่งคดีมีมูลให้ประทับรับฟ้องจำเลยต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและปฏิเสธว่าไม่ได้ฉ้อโกงโจทก์
ก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องเป็นกรณีแห่งอาญารวมกัน ทนายของโจทก์ได้ลงชื่อแทนตัวโจทก์ในฟ้อง โดยตัวโจทก์ไม่ได้ลงชื่อเป็นการพลั้งเผลอไปขอให้ศาลอนุญาตให้โจทก์ลงชื่อในท้ายฟ้อง หรือถือเอาคำร้องเป็นการลงชื่อในช่องโจทก์ท้ายฟ้อง เพื่อให้ฟ้องสมบูรณ์ตามกฎหมายได้และคำว่า “แชร์” ที่โจทก์กล่าวในฟ้องทุกแห่ง โจทก์ขอแก้เป็นว่า”แชร์เปียหวย” เพราะพิมพ์ตกไป
ฝ่ายจำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตเพิ่มเติมรายละเอียดตามคำให้การว่าตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา จำเลยไม่เคยขายแชร์ให้โจทก์ และอ้างฐานที่อยู่ จำเลยไม่ได้หลอกลวงโจทก์
ศาลชั้นต้นสอบถามข้อที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติม จำเลยค้านว่าศาลไม่ควรอนุญาตเพราะฟ้องเดิมของโจทก์ไม่สมบูรณ์อยู่แล้ว การที่โจทก์ขอแก้หากลับทำให้ฟ้องเดิมสมบูรณ์ขึ้นไม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่า การที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องมิได้ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้หรือเสียเปรียบ และที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมคำว่า “แชร์” เป็น”แชร์เปียหวย” ก็เป็นรายละเอียดในฟ้อง จึงอนุญาต
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม และเชื่อว่าจำเลยได้หลอกลวงขายหุ้นแชร์เปียหวยให้โจทก์โดยจำเลยมิได้ตั้งวงแชร์เปียหวยพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือนให้จำเลยคืนเงิน 7,000 บาทให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์จะขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องโดยขออนุญาตให้ตัวโจทก์ลงชื่อในฟ้องเพราะพลั้งเผลอนั้น ไม่เป็นเหตุสมควรที่จะอ้างได้ และมิใช่เป็นการขอแก้หรือเพิ่มเติมฐานความผิดหรือรายละเอียดที่ต้องแสดงในฟ้อง แต่เป็นการแก้ไขฟ้องที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้วให้เป็นฟ้องขึ้น จึงทำไม่ได้ ฟ้องโจทก์ส่วนอาญาไม่สมบูรณ์ ต้องยกฟ้องโจทก์และศาลอุทธรณ์ยังวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ด้วยว่า คดีไม่พอฟังว่าจำเลยได้หลอกลวงโจทก์ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง โดยขอให้ศาลอนุญาตให้โจทก์ลงชื่อในท้ายฟ้อง หรือถือเอาคำร้องเป็นการลงชื่อในช่องโจทก์ท้ายฟ้องได้ ก่อนที่จะได้มีการสืบพยานโจทก์การขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเช่นนี้หาทำให้จำเลยต้องเสียเปรียบหรือหลงต่อสู้คดีแต่อย่างใดไม่ ควรอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163, 164
ส่วนปัญหาเรื่องความผิดฉ้อโกงนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยเอาความเท็จไปหลอกลวงโจทก์ว่าเป็นหัวหน้าวงแชร์เปียหวยและมีแชร์อยู่ โจทก์หลงเชื่อจึงตกลงรับซื้อแชร์ไว้โดยจ่ายเงินให้จำเลยไป 7,000 บาท ซึ่งความจริงจำเลยไม่ได้เปิดวงแชร์เปียหวยตามที่อ้าง ดังนี้ จำเลยย่อมมีผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และต้องคืนเงินให้โจทก์
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้นทุกประการ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนายชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาสามร้อยบาทแทนโจทก์
สรุป
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องโดยขอให้ศาลอนุญาตให้โจทก์ลงชื่อในท้ายฟ้อง หรือถือเอาคำร้องเป็นการลงชื่อในช่องโจทก์ท้ายฟ้องได้ ก่อนที่จะได้มีการสืบพยานโจทก์ การขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเช่นนี้หาใช่ทำให้จำเลยต้องเสียเปรียบหรือหลงต่อสู้คดีแต่อย่างใดไม่ ควรอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163,164
จำเลยเอาความเท็จไปหลอกลวงโจทก์ว่าเป็นหัวหน้าวงแชร์เปียหวยและมีแชร์อยู่ โจทก์หลงเชื่อจึงตกลงรับซื้อแชร์ไว้ โดยจ่ายเงินให้จำเลยไป 7,000 บาท ซึ่งความจริงจำเลยไม่ได้เปิดวงแชร์เปียหวยตามที่จำเลยอ้าง ดังนี้จำเลยย่อมมีความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341