เปิดไฟ หรือแสงสว่างน้อย เกิดอุบัติเหตุถือว่าประมาทหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3464/2530
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารปรับอากาศ หมายเลขทะเบียน อ.ท. ๐๓๖๙๓ จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ภ.ก. ๐๑๘๑๓ ส่วนจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีหน้าที่ขับรถยนต์บรรทุก เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๒๓ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ภ.ก. ๐๑๘๑๓ บรรทุกสินค้าจากจังหวัดภูเก็ตไปตามถนนเพชรเกษมจะเข้ากรุงเทพมหานคร จำเลยที่ ๑ จอดรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวบนผิวจราจรในช่องทางเดินรถ ไม่เปิดไฟสัญญาณรถยนต์บรรทุกที่จอดเพื่อให้รถคันอื่นที่สัญจรไปมาเห็นประจักษ์ เป็นเหตุให้รถยนต์โดยสารของโจทก์ซึ่งขับบรรทุกผู้โดยสารมาถึงที่เกิดเหตุไม่สามารถมองเห็นและหลบหนีรถยนต์บรรทุกนั้นได้ จึงชนกับรถยนต์บรรทุกนั้นได้ จึงชนกับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวโจทก์ได้รับความเสียหายรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๔๔๕,๕๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน ๔๔๕,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสามมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหาย เมื่อเครื่องยนต์ของรถยนต์บรรทุกขัดข้อง จำเลยที่ ๑ จอดรถยนต์บรรทุกนั้นชิดด้านซ้ายของไหล่ช่องทางเดินรถแล้วเปิดสัญญาณไฟเล็กที่ท้ายรถที่หน้ารถและโคมไฟสีแดงด้านท้ายรถไว้ เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากพนักงานขับรถยนต์โดยสารของโจทก์ประมาทพนักงานขับรถยนต์โดยสารของโจทก์เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของโจทก์ทั้งสองขับรถไปในทางการที่จ้างหรือกิจการของโจทก์ทั้งสองด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและด้วยความประมาทเลินเล่อดังกล่าว ชนรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๓ ได้รับความเสียหาย รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๑๓๕,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๑๓๕,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่ง
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างโดยประมาท จำเลยที่ ๓ มิได้เสียหายตามฟ้องขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชำระเงินจำนวน ๔๔๕,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๓ ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ภ.ก.๐๑๘๑๓ บรรทุกปลาป่นของจำเลยที่ ๓ จากจังหวัดภูเก็ตจะไปยังกรุงเทพมหานคร พอถึงที่เกิดเหตุเครื่องยนต์ขัดข้อง จำเลยที่ ๑ จอดรถยนต์บรรทุกไว้ที่ด้านซ้ายของถนน ต่อมาเวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกามีรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน อ.ท. ๐๓๖๙๓ ของโจทก์ทั้งสองบรรทุกคนโดยสารจากจังหวัดสงขลาจะไปยังกรุงเทพมหานครมาถึงที่เกิดเหตุแล้วเกิดเหตุชนท้ายรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ภ.ก. ๐๑๘๑๓ ที่จอดอยู่เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันได้รับความเสียหาย ปรากฏว่าถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรง ขึ้นเนินประมาณ ๒๐ องศา ขึ้นเนินไปประมาณ ๕๐ เมตร ถึงที่เกิดเหตุตรงที่เกิดเหตุผิวจราจรกว้าง ๖ เมตร ไหล่ถนนกว้างประมาณ ๒ เมตร รถยนต์บรรทุกจอดอยู่บนผิวจราจรทั้งคันและคลุมผ้าใบไว้ เห็นได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากรถยนต์บรรทุกจอดอยู่บนผิวจราจรในช่องทางเดินรถในเวลากลางคืนโดยมิได้แสดงสัญญาณใด ๆ เตือนให้ผู้ขับรถคันอื่นทราบ ทั้งยังใช้ผ้าใบคลุมรถไว้ทั้งคันอีกด้วยเมื่อรถยนต์โดยสารแล่นมาถึงที่เกิดเหตุ แม้จะมีแสงสว่างจากไฟหน้ารถแต่ก็เห็นรถยนต์บรรทุกเมื่อเข้าไปใกล้กันประมาณ ๗-๘ เมตรแล้ว ผู้ขับรถยนต์โดยสารเห็นรถยนต์บรรทุกในระยะกระชั้นชิดโดยกระทันหันขับหลบหลีกไม่ทัน จึงเป็นเหตุให้เกิดชนกันที่จำเลยทั้งสามนำสืบอ้างว่า จำเลยที่ ๑ เปิดไฟสัญญาณที่ท้ายรถยนต์บรรทุก และวางกิ่งไม้ไว้บนถนนห่างท้ายรถประมาณ ๕๐ เมตรนั้นไม่น่าเชื่อ ขณะเกิดเหตุรถยนต์โดยสารแล่นด้วยความเร็วประมาณ ๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งไม่เกินอัตราความเร็วที่กฎหมายกำหนดและแล่นขึ้นเนินเหตุที่ด้านหน้าข้างซ้ายของรถยนต์โดยสารชนท้ายรถยนต์บรรทุกด้านขวาน่าจะเป็นเพราะเหตุผู้ขับรถยนต์โดยสารเห็นรถยนต์บรรทุกที่จอดอยู่ในระยะกระชั้นชิดและขับหลบหนีรถยนต์บรรทุกไม่พ้นมากกว่า หาใช่หลบรถยนต์โดยสารที่แล่นสวนมาไม่ เมื่อชนกันแล้วด้านหน้าข้างขวาของรถยนต์โดยสารไม่ได้ปะทะกับท้ายรถยนต์บรรทุก จึงเป็นเหตุให้ด้านหน้ารถยนต์โดยสารเฉไปทางซ้ายตามแรงด้านที่ปะทะส่วนเก้าอี้ในรถยนต์โดยสารหลุดเสียหายก็เพราะเหตุชนกันจะถือเอาเหตุดังกล่าวเป็นข้อชี้ว่าผู้ขับรถยนต์โดยสารขับด้วยความเร็วโดยประมาทหาได้ไม่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจำเลยที่ ๑ ประมาทแต่ฝ่ายเดียว ผู้ขับรถยนต์โดยสารมิได้ประมาทด้วย
พิพากษายืน.
สรุป
ถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรง ขึ้นเนินประมาณ 20 องศา ผิวจราจรกว้าง 6 เมตร ไหล่ถนนกว้างประมาณ 2 เมตร รถยนต์บรรทุกของจำเลยเสียจำเลยจอดรถอยู่บนผิวจราจรทั้งคันในเวลากลางคืนเมื่อขึ้นเนินไปประมาณ 50 เมตร และคลุมผ้าใบไว้ โดยไม่ได้เปิดไฟท้ายรถหรือแสดงสัญญาณใด ๆ เตือน ให้ผู้ขับรถคันอื่นทราบเป็นเหตุให้รถโจทก์ซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้จะมีแสงสว่างจากไฟหน้ารถแต่ก็เห็นรถจำเลยเมื่อเข้าไปใกล้กันประมาณ 7- 8 เมตรแล้ว คนขับรถโจทก์ขับรถหลบหลีกไม่ทัน จึงเป็นเหตุให้ชนท้ายรถจำเลยดังนี้เหตุเกิดเพราะจำเลยเป็นฝ่ายประมาทแต่ฝ่ายเดียว คนขับรถโจทก์มิได้ประมาทด้วย.