บอกขายที่ดินโดยไม่รู้ว่าที่ดินจะถูกเวรคืน มีความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 151/2537
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องรวมว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 31680 และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 31549 ที่ดินทั้งสองแปลงตั้งอยู่ที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่8 สิงหาคม 2532 เวลากลางวัน และระหว่างวันที่ 8 ถึง 15 สิงหาคม2532 เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองได้หลอกลวงโจทก์โดยบอกขายที่ดินสองแปลงดังกล่าวแก่โจทก์ โดยปกปิดมิได้บอกกล่าวให้แจ้งถึงเรื่องอาณาเขตของที่ดินที่จะขายว่าตกอยู่ในเขตที่ดินที่ต้องถูกทางราชการเวนคืนซึ่งความจริงจำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วว่า ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวอยู่ภายในพื้นที่ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินที่จะทำการสำรวจเพื่อวางผังและจัดทำผังเมืองเฉพาะในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลา ตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชาและตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2531โจทก์หลงเชื่อโดยการหลอกลวงของจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 31549 กับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2532วางเงินมัดจำให้จำเลยที่ 2 รับไปเป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาทและโดยการหลอกลวงของจำเลยทั้งสองร่วมกัน วันที่ 15 สิงหาคม 2532โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 31680 กับจำเลยที่ 1วางเงินมัดจำให้จำเลยที่ 1 ไป รวมสองครั้งเป็นเงิน 2,000,000 บาทต่อมาประมาณเดือนตุลาคม 2532 โจทก์ทราบว่า ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวอยู่ภายในพื้นที่ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินที่จะทำการสำรวจเพื่อวางผังและจัดทำผังเมืองเฉพาะในท้องที่ตำบลทุ่งสุขลาตำบลหนองขาม อำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี พ.ศ. 2531 ซึ่งสำนักผังเมืองกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนในการวางและจัดทำผังเมืองเฉพาะตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 โดยได้กำหนดให้ที่ดินดังกล่าวเป็นสถาบันราชการ (สร 3) และเป็นถนนสาย ผฉ.3-10ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ผังเมืองเฉพาะชุมชนเมืองใหม่แหลมฉบังแล้วจำเลยทั้งสองมีเจตนาฉ้อโกงเงินโจทก์ ทำให้ได้รับความเสียหายเหตุเกิดที่ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าจำเลยทั้งสองมิได้กระทำผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่าคดีปรากฏจากคำเบิกความของนายเขจ ทวิโภคา นายดาวเรืองและนายมินตรา โภคบุตร ปลัดอำเภอศรีราชา นายช่างสำรวจ 7 กองสำรวจสำนักผังเมือง และหัวหน้าหน่วยวางผังกองผังเมืองเฉพาะตามลำดับพยานโจทก์ที่ว่าที่ดินซึ่งตั้งอยู่ตำบลทุ่งสุขลา ตำบลหนองขามอำเภอศรีราชา และตำบลบางละมุง อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีเป็นที่ดินที่อยู่ในโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะโพออกแหลมฉบังซึ่งเริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2529 และอยู่ในเขตโครงการผังเมืองเพื่อเวนคืนต่อไปด้วยแต่การที่จะเวนคืนที่ดินในพื้นที่ใดเป็นพื้นที่ซึ่งกำหนดเพื่อจัดทำผังเมืองเฉพาะเพื่อรองรับชุมชนในเขตอุตสาหกรรมน้ำลึกที่แหลมฉบังนั้น เจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องจะต้องออกสำรวจพื้นที่และประชุมราษฎรเพื่อรับฟังความคิดเห็นเพื่อการวางและจัดทำผังเมืองเฉพาะโดยออกพระราชกฤษฎีกาหลังจากนั้นจึงจะดำเนินการออกเป็นพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดินซึ่งก็ปรากฏว่าได้มีการสำรวจพื้นที่ดินเพื่อวางและจัดทำผังเมืองในเขตพื้นที่ดังกล่าวกันตั้งแต่ปี 2530 และออกพระราชกฤษฎีกาในปี2531 ตามเอกสารหมาย จ.18 โดยจัดประชุมราษฎรในพื้นที่ขึ้น2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2531 และวันที่ 13 มีนาคม 2532ตามประกาศสำนักผังเมืองเอกสารหมาย จ.5 สำนวนที่หนึ่งและบันทึกการประชุมเอกสารหมาย จ.6 ทั้งสองสำนวน ในการประชุมรับฟังข้อคิดเห็นของราษฎรในครั้งแรกตามเอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 1 ถึง8 นั้น ยังมิได้กำหนดพื้นที่ที่จะเวนคืนว่าอยู่ตรงไหนบ้างตามที่ปรากฏในหน้าที่ 5 ถึง 6 ของเอกสารดังกล่าว ที่นายเขจพยานโจทก์เบิกความว่าที่ดินของจำเลยทั้งสองจะถูกเวนคืนเป็นสถานที่ราชการนั้นตามเอกสารหมาย จ.6 หน้า 6 ก็ไม่ทราบว่าศูนย์ราชการจะตั้งอยู่ตรงไหน สำหรับผังเมืองเฉพาะตามผังร่างกำหนดว่าย่านใดอยู่บริเวณไหนซึ่งมีการนำเสนอในการประชุมครั้งที่สอง ตามที่ปรากฏจากเอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 12 พื้นที่ที่จะเวนคืนยังต้องเสนอทางจังหวัดและท้องถิ่นเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนถึงจะผ่านไปยังกระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐสภาเพื่อตราเป็นพระราชบัญญัติเวนคืน ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมิได้มีพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดินในเขตพื้นที่นั้นออกใช้บังคับการประชุมแต่ละครั้งดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเข้าประชุมด้วย การซื้อขายที่ดินในบริเวณที่ดินซึ่งมีการสำรวจเพื่อวางและจัดทำผังเมืองก็ยังมีอยู่ ทางการมิได้มีการห้ามโอนขายหรือจำหน่ายแต่อย่างใดนายมะหิน และนายขนุน์กำนันและผู้ใหญ่บ้านบ้านตำบลทุ่งสุขลาซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่พยานจำเลยทั้งสองก็เบิกความว่าก่อนปี 2533 ทางราชการไม่เคยมีหนังสือแจ้งให้ทราบว่าที่ดินในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวจะถูกเวนคืนเอกสารหมาย ล.6 สำนวนที่หนึ่ง ซึ่งเป็นประกาศเรื่องโครงการก่อสร้างระบบสุขาภิบาลและระบบถนนชุมชนเมืองใหม่แหลมฉบังของอำเภอศรีราชาก็เพิ่งมีการนำมาปิดไว้ตามหมู่บ้านเมื่อเดือนมกราคม2533 เรืออากาศตรีปฐม วรรธนะภูมิผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีพยานจำเลยทั้งสองก็เบิกความว่าประมาณปลายปี 2533 สำนักผังเมืองจังหวัดชลบุรีให้นำสำรวจพื้นที่บริเวณที่จะถูกเวนคืนและทางอำเภอยังไม่ได้แจ้งให้เจ้าของที่ดินที่จะถูกเวนคืนทราบซึ่งทางจังหวัดเพิ่งจะแจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบว่าที่ดินจะถูกสำรวจเพื่อวางและจัดทำผังเมือง ให้ไปรับรองแนวเขตเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2534 ตามเอกสารหมาย ล.24 และ ล.25 ดังนี้ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าขณะทำสัญญาจะซื้อขายกับโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าที่ดินจะถูกเวนคืนนั้นฟังได้ นายเทียนกิ่ง มานิตย์ พยานโจทก์ซึ่งพาโจทก์ไปซื้อก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าขณะทำสัญญาจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าที่ดินของตนถูกเวนคืนซึ่งก็สอดคล้องกันกับคำเบิกความของนางแดง พยานโจทก์ซึ่งได้ถามจำเลยที่ 2 ภายหลังจากทราบว่าที่ดินอยู่ในเขตพื้นที่ที่จะเวนคืนว่าจำเลยที่ 2 ทราบหรือไม่ว่าที่ดินถูกเวนคืน จำเลยที่ 2ก็บอกว่าไม่ทราบ ตามคำเบิกความของโจทก์ก็ปรากฏว่า โจทก์ก็เคยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินบริเวณดังกล่าวกับผู้ขายอื่นขณะทำสัญญานั้นนายแตงโม พยานจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายหน้าขายที่ดินรายนี้ด้วยก็เบิกความว่าจำเลยทั้งสองเพียงพูดรับรองว่าที่ดินไม่มีภาระผูกพันใด ๆ เท่านั้น ทั้งโจทก์ในฐานะผู้จะซื้อที่ดินจากจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องระวังอยู่แล้ว การเวนคืนถึงหากจะมีก็ยังไม่เป็นการแน่นอนในขณะทำสัญญาจะซื้อขาย พฤติการณ์แห่งคดีจำเลยทั้งสองไม่อาจทราบได้ว่าจะมีการเวนคืนหรือไม่มากน้อยเพียงใด จำเลยทั้งสองจึงมิได้ปกปิดข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับที่ดินซึ่งตกอยู่ในเขตที่ดินที่ต้องถูกทางราชการเวนคืนโดยทุจริตแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองมิได้กระทำผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดและพิพากษาลงโทษมานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
สรุป
ในขณะที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าที่ดินจะถูกเวนคืน เพียงแต่จำเลยทั้งสองพูดรับรองว่าที่ดินไม่มีภาระผูกพันใด ๆ เท่านั้น ทั้งโจทก์ในฐานะผู้จะซื้อที่ดินจากจำเลยทั้งสองก็มีหน้าที่ต้องระวังอยู่แล้วการเวนคืนถึงหากจะมีก็ยังไม่เป็นการแน่นอน ในขณะทำสัญญาจะซื้อจะขาย พฤติการณ์แห่งคดีจำเลยทั้งสองไม่อาจทราบได้ว่าจะมีการเวนคืนหรือไม่ มากน้อยเพียงใด ถือว่าจำเลยทั้งสองมิได้ปกปิดข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับที่ดินซึ่งตกอยู่ในเขตที่ดินที่ต้องถูกทางราชการเวนคืนโดยทุจริตแต่อย่างใดจำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง