ที่ดินสาธารณะตกเป็นภาระจำยอมได้หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3226/2540
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามใช้ทางกว้าง 4 เมตร ตามแนวทางทิศเหนือจรดทิศใต้ด้านที่ติดที่ดินโจทก์ทั้งสามทางทิศตะวันออกในที่ดินของจำเลยที่ 1 เป็นทางเข้าออกที่ดินโจทก์สู่ภายนอกโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาให้ทางพิพาทเป็นทางเดินของโจทก์ทั้งสามมานานเกินกว่า 10 ปีแล้ว ครั้นต้นเดือนมิถุนายน 2536 จำเลยที่ 2โดยความเห็นชอบของจำเลยที่ 1 ได้ก่อสร้างแนวกำแพงรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กขึ้นปิดกั้นที่ดินของจำเลยที่ 1 กับที่ดินโจทก์ซึ่งทางพิพาทถูกปิดกั้นไปด้วยทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเรื่องจากไม่มีทางเข้าออกสู่ภายนอก และไม่มีทางถ่ายเทอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ที่ดิน ขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอม ให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนทางดังกล่าวเป็นทางภารจำยอม หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาและให้จำเลยทั้งสองรื้อแนวกำแพงรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กที่ปิดกั้นทางพิพาทพร้อมปรับถมทางพิพาทให้กลับสู่สภาพเดิม ถ้าจำเลยทั้งสองไม่กระทำ ให้โจทก์มีอำนาจกระทำได้โดยจำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ตั้งสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครราชสีมาแห่งที่ 1 จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โจทก์จะยกอายุความการได้ทางภารจำยอมในที่ดินขึ้นกล่าวอ้างหาได้ไม่ นอกจากนั้นโจทก์ก็มีทางเข้าออกทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะได้อยู่แล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับกันฟังเป็นยุติว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 11407 เป็นของนางชมพู่ ต่อมานางชมพู่ยกที่ดินดังกล่าวให้เป็นที่ตั้งสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครราชสีมาแห่งที่ 1 โดยจำเลยที่ 1ได้ขึ้นทะเบียนที่ดินรายนี้เป็นที่ราชพัสดุ และจำเลยที่ 2เป็นผู้ใช้ประโยชน์ สำหรับโจทก์ทั้งสามได้ใช้ที่ดินข้างต้นด้านทิศตะวันออกที่จรดที่ดินของโจทก์ทั้งสามเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นเวลา 10 ปีเศษแล้ว ภายหลังจำเลยที่ 2 ได้รื้อถอนอาคารสถานีขนส่งเดิมออกแล้วปลูกสร้างขึ้นใหม่ โดยด้านหลังอาคารได้ก่อสร้างแนวผนังอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กปิดกั้นที่ดินของโจทก์ทั้งสามและที่ดินราชพัสดุรายนี้ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามไม่สามารถเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ดังเดิม คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 11407 เป็นทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ตั้งสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครราชสีมาแห่งที่ 1ซึ่งเป็นสถานที่ที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปใช้บริการสาธารณะดังกล่าวได้ นับได้ว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1304(2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังนั้น แม้จะได้ความว่าโจทก์ทั้งสามใช้ทางในที่ดินรายนี้เกินกว่า10 ปีแล้ว ก็ต้องห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1306ทางพิพาทจึงไม่ตกเป็นภารจำยอมดังฟ้องโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน
สรุป
ที่ดินที่เป็นที่ตั้งสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครราชสีมาซึ่งเป็นสถานที่ที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปใช้บริการสาธารณะดังกล่าวได้นับได้ว่าเป็นทรัพย์สินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304(2)ดังนั้นแม้จะได้ความว่าโจทก์ทั้งสามใช้ทางพิพาทในที่ดินรายนี้เกินกว่า10ปีแล้วก็ต้องห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา1306ทางพิพาทจึงไม่ตกเป็นภารจำยอม