Home บทความคดีแพ่ง เพียงแต่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย อ้างเหตุบันดาลโทสะได้หรือไม่

เพียงแต่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย อ้างเหตุบันดาลโทสะได้หรือไม่

1725

เพียงแต่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย อ้างเหตุบันดาลโทสะได้หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3442/2535

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80และริบจอบของกลาง

จำเลยให้การว่า จำเลยทำร้ายผู้เสียหายเพราะบันดาลโทสะ มิได้มีเจตนาฆ่า

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา297 ประกอบมาตรา 72 จำคุกจำเลย 1 ปี ยกฟ้องฐานพยายามฆ่าจอบของกลางเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดให้ริบ

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุจำเลยได้ใช้จอบทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัสตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องจริง มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสโดยบันดาลโทสะหรือไม่… เห็นว่า ตามทางนำสืบของโจทก์จำเลยไม่ได้พูดจาโต้เถียงกับผู้เสียหาย เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุจำเลยก็ใช้จอบฟันผู้เสียหายนั้นไม่น่าเชื่อเพราะตามคำเบิกความของผู้เสียหาย บ้านของจำเลยอยู่ห่างที่เกิดเหตุ 120 เมตร ขณะที่ผู้เสียหายพูดจาโต้เถียงกับนายองุ่นบุตรจำเลยอยู่นั้น ไม่ปรากฏว่าพูดจากันอย่างธรรมดาหรือพูดด้วยเสียงดังเชื่อว่าจำเลยไม่ได้ยินเสียงที่ผู้เสียหายและนายองุ่นโต้เถียงกัน จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะแบกจอบมาเพื่อทำร้ายผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงน่าเชื่อตามที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยได้นำจอบและพลั่วไปที่เกิดเหตุก่อนที่ผู้เสียหายไปถึงเพื่อช่วยขุดดินยกรถยนต์ของนายทองหลาง จำเลยได้พูดจาโต้เถียงกับผู้เสียหาย ซึ่งนอกจากจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานแล้ว ยังมีนางแคแสดและนายทองหลาง เบิกความสนับสนุนอีกด้วย นายทองหลางเป็นพยานคนกลางไม่เป็นญาติกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริงจึงน่าเชื่อถือกว่าพยานโจทก์ นายทองหลาง เบิกความว่า ผู้เสียหายได้ชี้หน้าด่าจำเลยว่า “ไอ้สัตว์ ไอ้หน้าหัวควย มึงมาเดินบนถนนกูทำไม กูบอกหลายครั้งแล้ว” จำเลยว่า “ถนนนี้ทำให้คนเดินหรือหมาเดินไม่ใช่รถของกู กูมาช่วยเขา” ภรรยาผู้เสียหายว่า “หน้ามึงหน้าด้าน หน้าเหมือนส้นตีน” เห็นว่า คำด่าว่าของผู้เสียหายและภรรยาเป็นคำหยาบคายเท่านั้น ไม่เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยมีความโกรธแค้นผู้เสียหายจึงได้ทำร้ายผู้เสียหายไม่ใช่เป็นการบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งว่า ให้พิพากษาลงโทษจำเลยในสถานเบาโดยพิพากษารอการลงโทษจำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยใช้จอบซึ่งมีใบจอบยาว 8 นิ้วกว้างฝ่ามือเศษ ด้ามยาว 1 เมตรเศษ ซึ่งเป็นอาวุธอันตรายฟันผู้เสียหายอย่างแรงจนเป็นเหตุให้แขนซ้ายหัก เป็นอันตรายแก่ร่างกายสาหัส ไม่มีเหตุที่ควรรอการลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษจำคุกจำเลยไว้ 3 ปี เหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว แต่เนื่องจากในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้ลดโทษให้จำเลย ศาลฎีกาเห็นควรลดโทษให้”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยไว้ 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

สรุป

ผู้เสียหายได้ชี้หน้าด่าจำเลยว่า “ไอ้สัตว์ไอ้หน้าหัวควยมึงมาเดินบนถนนกูทำไม กูบอกหลายครั้งแล้ว” ทั้งภรรยาผู้เสียหายก็ด่าจำเลยว่า “หน้ามึงหน้าด้าน หน้าเหมือนส้นตีน” คำด่าว่าของผู้เสียหายและภรรยาดังกล่าวนี้เป็นคำหยาบคายเท่านั้น ไม่เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยโกรธแค้นจึงทำร้ายผู้เสียหายไม่ใช่การบันดาลโทสะ ตาม ป.อ. มาตรา 72 จำเลยใช้จอบซึ่งมีใบจอบยาว 8 นิ้ว กว้างฝ่ามือเศษ ด้ามยาว1 เมตรเศษ ซึ่งเป็นอาวุธอันตรายฟันผู้เสียหายอย่างแรง จนเป็นเหตุให้แขนซ้ายหักเป็นอันตรายแก่กายสาหัส ไม่มีเหตุที่ควรรอการลงโทษ

Facebook Comments