แจ้งความร้องทุกข์โดยสุจริต ผิดหมิ่นประมาทได้หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2845/2556
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เป็นประการแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกประเด็นว่า จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ขึ้นวินิจฉัยก่อนเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า ในปัญหาว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น จำเลยได้ยกปัญหานี้ขึ้นกล่าวแก้ไว้ในคำแก้อุทธรณ์ จึงเป็นประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 สามารถยกขึ้นวินิจฉัยได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในประเด็นนี้จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เป็นประการต่อไปว่า การที่จำเลยไปฟ้องร้องโจทก์เป็นคดีอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทและไปเบิกความต่อศาลเพื่อยืนยันคำฟ้อง เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การฟ้องคดีต่อศาลนั้นตามปกติย่อมเป็นการกระทำโดยชอบ เพราะเป็นการที่จำเลยใช้สิทธิของตนทางศาลอันเป็นสิ่งที่กฎหมายอนุญาต การใช้สิทธิเช่นนี้ไม่เป็นการผิดกฎหมายแต่อย่างใด เว้นไว้แต่จะปรากฏว่าจำเลยกระทำโดยไม่สุจริต มิได้หวังผลอันเป็นธรรมดาแห่งการใช้สิทธิทางศาล หากแต่จงใจให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยใช้ศาลเป็นเครื่องมือ สำหรับคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เคยร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอภูเขียวให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาข่มขู่ ขู่เข็ญให้เกิดความกลัว ดูหมิ่นซึ่งหน้าและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทั้งได้ร้องเรียนจำเลยต่อผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชัยภูมิเขต 2 ว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์ได้ข่มขู่ อาฆาตและด่าประจานโจทก์ในที่ประชุม ซึ่งการที่โจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและร้องเรียนจำเลยต่อผู้บังคับบัญชาของจำเลยดังกล่าวมีมูลที่จะทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าโจทก์หมิ่นประมาทจำเลย จึงได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นในความผิดฐานหมิ่นประมาท มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยปั้นเรื่องขึ้นฟ้องโจทก์แต่อย่างใด แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่า การกระทำของโจทก์ไม่เป็นการหมิ่นประมาทจำเลย แต่ข้อความที่โจทก์ยกขึ้นอ้างในการร้องทุกข์และร้องเรียนนั้น จะเป็นการหมิ่นประมาทจำเลยหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันจำเลยอาจเห็นว่าเป็นข้อความหมิ่นประมาทก็ได้ จึงยังไม่พอฟังว่า การที่จำเลยฟ้องโจทก์ฐานหมิ่นประมาทนั้น เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอันจะเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
สรุป
การฟ้องคดีต่อศาลตามปกติย่อมเป็นการกระทำโดยชอบ เพราะเป็นการที่จำเลยใช้สิทธิของตนทางศาลอันเป็นสิ่งที่กฎหมายอนุญาต การใช้สิทธิเช่นนี้ไม่เป็นการผิดกฎหมายเว้นแต่จะปรากฏว่าจำเลยกระทำโดยไม่สุจริต
การที่โจทก์เคยร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยข้อหาข่มขู่ ขู่เข็ญให้เกิดความกลัว ดูหมิ่นซึ่งหน้าและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และร้องเรียนจำเลยต่อผู้บังคับบัญชาจำเลยในเรื่องเดียวกัน ย่อมมีมูลทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าโจทก์หมิ่นประมาทจำเลย จึงได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นในความผิดฐานหมิ่นประมาท มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยปั้นเรื่องขึ้นฟ้องโจทก์แต่อย่างใด แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าการกระทำของโจทก์ไม่เป็นการหมิ่นประมาทจำเลยก็ยังไม่พอฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิอันไม่สุจริตอันจะเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์