Home ทั้งหมด ทำหนังสือตกลงหย่าด้วยความสมัครใจ ไม่มีเหตุหย่า ฟ้องหย่าได้หรือไม่

ทำหนังสือตกลงหย่าด้วยความสมัครใจ ไม่มีเหตุหย่า ฟ้องหย่าได้หรือไม่

2303

ทำหนังสือตกลงหย่าด้วยความสมัครใจ ไม่มีเหตุหย่า ฟ้องหย่าได้หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เคยตัดสิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5887/2533

รายละเอียดที่โจทก์ฟ้อง

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นภริยาสามีกันโดยได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ณ ประเทศอังกฤษ อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีบุตรด้วยกัน 2 คน ที่บ้านเลขที่ 91/7 ถนนวิทยุแขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นบ้านของบิดาโจทก์หลังจากที่โจทก์กับจำเลยอยู่กินร่วมกันระยะหนึ่ง จำเลยได้ประพฤติตนเป็นคนเสเพลชอบเที่ยวเตร่ และดื่มสุราเป็นอาจิณไม่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรทั้งสอง ไม่เคยให้ความเคารพนับถือบิดามารดาของโจทก์ชอบพูดจาหยาบคาย ส่อเสียด ดูถูกคนหมิ่นโจทก์และบิดาของโจทก์ ไม่ตั้งใจที่จะทำงานการให้เป็นหลักแหล่ง และยังจงใจทิ้งร้างโจทก์กลับไปอยู่ยังประเทศอินเดียวเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี โจทก์เคยฟ้องขอหย่ากับจำเลยต่อศาลแพ่งมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อต้นปี 2528 จำเลยก็ติดต่อขอตกลงกับโจทก์โดยตกลงยืนยอมทำสัญญาแยกกันอยู่ ให้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองตกอยู่กับโจทก์ และจะไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ในภายหลัง โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยจะปฏิบัติตามสัญญา จึงได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดี ต่อมาจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนหย่ากับโจทก์และยังคงไม่ให้ความอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรทั้งสองเช่นเดิมการกระทำของจำเลยดังกล่าวโจทก์ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง ไม่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์และจงใจทิ้งร้างโจทก์ไปเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี และโจทก์ยังถือว่าจำเลยได้ทำสัญญาจะจดทะเบียนหย่ากับโจทก์แล้ว แต่จำเลยหาได้ปฏิบัติตามสัญญาไม่ ขอศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันโดยให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ ณสำนักงานทะเบียนทันที หากจำเลยไม่ยินยอมไปจดทะเบียนหย่าให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

ข้อต่อสู้ของจำเลย

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและศาลชั้นต้นก็ไม่มีอำนาจพิพากษาตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง เพราะโจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกันในประเทศอังกฤษ ตามแบบที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการสมรส ค.ศ. 1945 ของประเทศอังกฤษ โจทก์กับจำเลยไม่เคยจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายไทย ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนแสดงถึกงารจดทะเบียนสมรสซึ่งเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยเก็บรักษาไว้ในประเทศไทย จึงไม่อาจจดทะเบียนหย่างในประเทศไทย ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจจะพิพากษาว่าหกจำเลยไม่ไปทำการจดทะเบียนหย่า ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย เพราะจะเป็นการขยายเขตอำนาจของศาลพ้นอาณาเขตของประเทศไทย ตลอดเวลาตั้งแต่โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยากัน จำเลยให้ความช่วยเหลือและอุปการะเลี้ยงดูโจทก์รวมทั้งบุตรทั้งสองเยี่ยงสามีและบิดาที่ดีเหมาะสมแก่สภาพฐานะและความเป็นอยู่ฉันสามีภริยาและบุตรทุกประการ จำเลยไม่เคยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาหรือความสัมพันธ์ในครอบครัวดังโจทก์กล่าวอ้าง จำเลยไม่เคยจงใจทิ้งร้างโจทก์เกินกว่า 1 ปี จำเลยมีกิจการงานทำเป็นหลักเป็นฐาน มิได้ประพฤติตนเป็นคนเสเพลดื่มสุราเป็นอาจิณหรือออกเที่ยวเตร่ยามค่ำคืน มิได้พูดจาหยาบคาย ส่อเสียดดูถูกดูหมิ่นโจทก์หรือบิดาของโจทก์คดีของโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1529

ศาลชั้นต้นตัดสินว่า

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนหย่าให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

ผลการตัดสินในศาลอุทธรณ์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน คำขออื่นของโจทก์ให้ยก

จำเลยฎีกา

จุดที่ศาลฎีกาใช้วิเคราะห์

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังไว้ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2521 โจทก์ซึ่งเป็นคนสัญชาติไทยกับจำเลยซึ่งเป็นคนสัญชาติอินเดีย ได้จดทะเบียนสมรสกัน ณ สำนักงานทะเบียนเขตเชลซี ท้องที่รอเยลโบโร แห่งเคนชิงตันและเชลซีประเทศอังกฤษตามเอกสารหมาย จ.9 ถูกต้องตามแบบที่กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติการสมรส ค.ศ. 1949 ของประเทศอังกฤษ หลังจากนั้นโจทก์และจำเลยได้อยู่กินฉันสามีภริยากันที่บ้านบิดาโจทก์ที่กรุงเทพมหานคร และเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2528 โจทก์กับจำเลยได้ทำหนังสือหย่ากันโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย และมีพยานลงลายมือชื่อ 2 คนตามเอกสารหมาย จ.3 ที่จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อแรกว่าศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากันเพราะการหย่าโดยความยินยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1514 มุ่งหมายเฉพาะกรณีคู่สมรสได้ทำการจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เท่านั้น กล่าวคือต้องเป็นกรณีโจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสต่อนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 คือ ต้องเป็นการจดทะเบียนสมรสโดยนายทะเบียน ณ สำนักทะเบียนอำเภอ หรือกึ่งอำเภอ หรือโดยเจ้าพนักงานทูตหรือกงสุลไทย ณ ที่ทำการสถานทูต หรือสถานกงสุลไทยจึงจะพิพากษาให้คู่สมรสหย่ากันได้นั้น พิเคราะห์ปล้ว เห็นว่าการหย่าโดยความยินยอมของคู่สมรสซึ่งฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายเป็นคนต่างด้าวนั้นจะมีผลใช้บังคับหรือไม่ ต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา 26ซึ่งบัญญัติว่า “การหย่าโดยความยินยอมย่อมสมบูรณ์ ถ้ากฎหมายสัญชาติแห่งสามีและภริยาทั้งสองฝ่ายยอมให้กระทำได้” บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการรับรองระบบกฎหมายของประเทศที่อนุญาตให้มีการหย่าด้วยความยิยอมของสามีและภริยาทั้งสองฝ่าย หมายความว่าการหย่าโดยความยินยอมของสามีและภริยาทั้งสองฝ่ายจะใช้บังคับได้ต่อเมื่อกฎหมายของคู่สมรสทั้งสองฝ่ายยินยอมให้หย่าโดยความยินยอมได้ ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยมิได้เถียงกันและฟังเป็นยุติแล้วว่า ตามกฎหมายแห่งสัญชาติของโจทก์และจำเลยคือ กฎหมายของประเทศไทยและอินเดียต่างก็ยินยอมให้คู่สมรสหย่าโดยความยินยอมได้และโจทก์กับจำเลยก็ได้ทำหนังสือหย่ากันด้วยความสมัครใจตามเอกสารหมาย จ.3 การหย่าโดยความยินยอมของโจทก์และจำเลยดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับกันได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1514แม้โจทก์กับจำเลยจะมิได้จดทะเบียนสมรสโดยนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียนอำเภอ หรือกิ่งอำเภอหรือโดยนายทะเบียน ณที่ทำการสถานทูตหรือกงสุลไทยก็ตาม การหย่าโดยความยินยอมของโจทก์และจำเลยดังกล่าวก็มีผลใช้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1514 เมื่อโจทก์ฟ้องหย่าโดยอาศัยหนังสือหย่าฉบับดังกล่าวศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาได้ ที่จำเลยฎีกาว่าแม้การจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยตามกฎหมายของประเทศอังกฤษจะฟังได้ว่าเป็นการจดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์และจำเลยก็ไม่อาจปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1515 คือ ไม่สามารถไปจดทะเบียนหย่าในราชอาณาจักรไทย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นพิเคราะห์แล้ว ตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478มาตรา 17 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ถ้าการใด ๆ อันเกี่ยวกับฐานะแห่งครอบครัว ได้ทำขึ้นในต่างประเทศตามแบบซึ่งกฎหมายแห่งประเทศที่ทำขึ้นนั้นบัญญัติไว้ ผู้มีส่วนได้สเียจะขอให้บันทึกในประเทศไทยก็ได้ แต่ต้องยื่นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการนั้นโดยมีคำรับรองถูกต้องพร้อมกับคำแปลภาษาไทย ซึ่งฝ่ายนั้นต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย”และมาตรา 18 บัญญัติว่า “การจดทะเบียนการหย่าโดยความยินยอมนั้นให้นายทะเบียนรับจดต่อเมื่อสามีและภริยาร้องขอ และได้นำหนังสือที่ระบไว้ในมาตรา 1514 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาแสดงต่อนายทะเบียนด้วย” จากบัญญัติดังกล่าวแสดงว่า แม้โจทก์กับจำเลยจะจดทะเบียนสมรสกันในประเทศตามแบบกฎหมายของประเทศอังกฤษก็ตามหากทั้งสองฝ่ายประสงค์จะจดทะบเียนหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองก็สามารถจดทะเบียนหย่าในประเทศไทยได้ตามขั้นตอนของบทกฎหมายดังกล่าว คือ ในเบื้องต้นโจทก์หรือจำเลยต้องร้องขอให้นายทะเบียนในประเทศไทยบันทึกข้อความลงในทะเบียนว่าโจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกัน ณสำนักงานทะเบียนเขตเชลซีประเทศอังกฤษ ตามแบบกฎหมายของประเทศอังกฤษแล้ว พร้อมกับยื่นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการจดทะเบียนสมรสตามเอกสารหมาย จ.9 พร้อมคำแปลภาษาไทยขั้นตอนต่อไปโจทก์และจำเลยก็ร้องขอให้นายทะเบียนในปะเทศไทยจดทะเบียนหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายตามหนังสือหย่าเอกสารหมาย จ.3 ทั้งนี้ตามบทบัญญัติมาตรา 17 และ 18 ดังกล่าว ดังนี้ การหย่าโดยความยินยอมของโจทก์และจำเลยก็สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1515 สามารถใช้ยันบุคคลภายนอกทั่วไปได้ การหย่าโดยความยินยอมของโจทก์และจำเลยในกรณีนี้จึงสามารถปฏิบัติตามมาตรา 1515 ดังกล่าวได้ที่จำเลยฎีกาว่ากรณีนี้เมื่อโจทก์กับจำเลยทำหนังสือหย่ากันเองก็สมบูรณืแล้วไม่จำต้องให้ศาลพิพากษาให้หย่าขาดจากกันอีกโดยอ้างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 610/2496 มาด้วยนั้น เห็นว่า การหย่าโดยความยินยอมของโจทก์และจำเลยตามหนังสือหย่าเอกสารหมาย จ.3 นั้นย่อมเป็นอันสมบูรณ์ตามกฎหมายใช้บังคับกันได้เฉพาะระหว่างโจทก์กับจำเลยเท่านั้น แต่จะอ้างเป็นเหตุให้เสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตไม่ได้ เว้นแต่จะได้จดทะเบียนหย่าแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1515 เมื่อจำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่าโจทก์จึงจำเป็นต้องฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันเพื่อโจทก์จะได้ดำเนินการให้นายทะเบียนบันทึกไว้ในทะเบียนตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติทะเบียนครอบครัวต่อไปเพื่อให้การหย่านั้นสมบูรณ์ สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้างมานั้น ศาลฎีกาได้ตรวจดูแล้ว ข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวมีว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 จะทเบียนสมรสกัน ณ ต่างประเทศโดยมิได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานทูตหรือกงสุลไทย ต่อมาได้ทำหนังสือหย่ากันโดยความยินยอมทั้งสองฝ่ายในประเทศไทยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการหย่านั้นสมบูรณ์ ถือว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกันนับแต่นั้น จำเลยที่ 1 ทำการสมรสกับจำเลยที่ 2 ได้ไม่ถือว่าขณะจำเลยที่ 1 สมรสกับจำเลยที่ 2 นั้นจำเลยที่ 1 ยังเป็นคู่สมรสกับโจทก์โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะไม่ได้ คดีดังกล่าวไม่มีประเด็นว่าโจทก์จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาหย่ากับจำเลยที่ 1 ตามหนังสือหย่าที่ทำกันไว้ได้หรือไม่ รูปเรื่องและข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวจึงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่จำเลยฎีกาว่าคพิพากษาของศาลไทยที่ให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าไม่มีสภาพบังคับกล่าวคือ ไม่อาจบังคับให้นายทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียน เขตเชลซีประเทศอังกฤษ ปฏิบัติตาม เพราะจะเป็นการขยายเขตอำนาจศาลไทยออกไปนอกอาณาเขตประเทศไทย และไม่สามารถบังคับนายทะเบียนเขตปทุมวันจดทะเบียนหย่าให้เพราะนายทะเบียนเขตปทุมวันไม่มีเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสของโจทก์กับจำเลยนั้น พิเคราะห์แล้วพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 2478 มาตรา 16 บัญญัติว่า”เมื่อศาลได้พิพากษาให้เพิกถอนการสมรสหรือให้หย่ากันแล้วผู้มีส่วนได้เสียจะขอให้นายทะเบียนบันทึกไว้ในทะเบียนก็ได้ แต่ต้องยื่นนำเนาคำพิพากษาอันถึงที่สุดที่รับรองว่าถูกต้องแล้วต่อนายทะเบียน” บทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า กรณีศาลพิพากษาให้หย่ากันนั้นจะไม่มีการจดทะบเียนหย่า เพียงแต่ผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้นายทะเบียนบันทึกไว้ในทะเบียนว่าศาลพิพากษาให้หย่าแล้วก็มีผลใช้ได้แล้ว คดีนี้เมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่ากันแล้วโจทก์ก็สามารถดำเนินการตามบทบัญญัติ มาตรา 16 ดังกล่าวได้กล่าวคือโจทก์ต้องขอให้นายทะเบียนบันทึกเสียก่อนว่าโจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกันในประเทศอังกฤษและตามแบบกฎหมายของประเทศอังกฤษตามเอกสารหมาย จ.9 พร้อมคำแปลภาษาไทย ตามมาตรา 17ดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปโจทก์ก็นำคำพิพากษาให้หย่ากันอันถึงที่สุดที่รับรองว่าถูกต้องแล้วยื่นต่อนายทะเบียน ตามมาตรา 16เพื่อให้บันทึกว่าศาลพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่ากันแล้วการหย่าโดยความยินยอมของโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1514 ก็จะมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1515 จึงสรุปได้ว่าคำพิพากษาของศาลคดีนี้สภาพบังคับได้ ส่วนจะมีผลใช้บังคับไปประเทศอังกฤษหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งโจทก์หรือผู้มีส่วนได้เสียจะต้องไปดำเนินการต่อไป แต่ศาลมิได้บังคับให้นายทะเบียนณ สำนักงานทะเบียน เชตเชลซี ประเทศอังกฤษ ทำการจดทะเบียนหย่าให้แก่โจทก์กับจำเลยแต่ประการใดจึงมิใช่การขยายเขตอำนาจศาลไทยออกไปนอกราชอาณาจักร

จุดที่ศาลฎีกาตัดสิน

ที่จำเลยฎีกา เหตุฟ้องหย่ามีเพียง 10 ประการ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 เท่านั้น การที่จำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ตามหนังสือหย่าเอกสารหมาย จ.3ไม่ใช่เหตุที่โจทก์จะฟ้องหหย่าได้นั้นเห็นว่า เมื่อโจทก์กับจำเลยได้ทำหนังสือหย่ากันเองถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1514 แล้ว เท่ากับทั้งสองฝ่ายตกลงยอมไป ร้องขอต่อนายทะเบียนให้จดทะเบียนหย่า ตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัวแล้ว จำเลยจะปฏิเสธไม่ยอมไปร้องขอให้นายทะเบียนจดทะเบียนหย่าโดยไม่มีเหตุอันสมควรไม่ได้ เมื่อจำเลยมีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนหย่าแต่ไม่ยอมปฏิบัติตามนั้นจึงเท่ากับจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามหนังสือหย่าฉบับดังกล่าว เป็นกรณีโจทก์จำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากกันได้โดยไม่เป็นต้องมีเหตุหย่าตามมาตรา 1516 เพราะกรณีนี้เป็นการฟ้องเพื่อให้การหย่าโดยความยินยอมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1515 เมื่อฟังว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหย่าโดยอาศัยหนังสือหย่าที่โจทก์กับจำเลยได้ทำขึ้นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าคดีโจทก์มีเหตุหย่าตามมาตรา 1516 หรือไม่ และคดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องหย่าตามมาตรา 1529 หรือไม่เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์และจำเลยต่อไปอีกแล้ว…”

พิพากษายืน.

สรุป

โจทก์คนสัญชาติไทย จำเลยคนสัญชาติอินเดีย จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามแบบที่กำหนดไว้ตาม พ.ร.บ. การสมรส ค.ศ. 1949ของประเทศอังกฤษ แม้มิได้จดทะเบียนสมรสโดยนายทะเบียนประจำสำนักทะเบียน อำเภอ หรือ กิ่งอำเภอ หรือโดยนายทะเบียนณ ที่ทำการสถานทูต หรือกงสุลไทยก็ตาม เมื่อได้ทำหนังสือหย่ากันด้วยความสมัครใจ ทั้งตามกฎหมายแห่งสัญชาติของโจทก์และจำเลยต่างก็ยินยอมให้คู่สมรสหย่ากันโดยความยินยอมได้ ศาลไทยจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษา การหย่าโดยทำหนังสือหย่ากันเองมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้แต่เฉพาะระหว่างโจทก์กับจำเลยเท่านั้น จะอ้างเป็นเหตุให้เสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตไม่ได้ เว้นแต่จะได้จดทะเบียนหย่าแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1515 หากจำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่าเท่ากับจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามหนังสือหย่า โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516และการฟ้องของโจทก์เช่นนี้ก็เพื่อโจทก์จะได้ดำเนินการให้นายทะเบียนบันทึกไว้ในทะเบียนตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัวฯ.

ติดต่อทนาย มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา

โทร 089-142-7773 ไลน์ไอดี @lawyers.in.th

#ฟ้องหย่า
#ฟ้องหย่าแยกกันอยู่
#สมัครใจหย่า
#ฟ้องหย่าฝ่ายเดียว
#ฟ้องหย่า ทนายอาสา
#ฟ้องหย่า ใช้เวลานานเท่าไหร่
#ฟ้องหย่า แบ่งสินสมรส
#ฟ้องหย่าสามีต่างชาติ
#ฟ้องหย่า ภาษาอังกฤษ
#ฟ้องหย่า เรียกค่าทดแทน
#ฟ้องหย่าออนไลน์
#ฟ้องหย่า แยกกันอยู่
#ฟ้องหย่า ไม่แบ่งสินสมรส
#ฟ้องหย่า มาตรา
#ฟ้อง หย่า กรณี แยก กัน อยู่ เกิน 3 ปี
#สมัครใจแยกกันอยู่
#การ ฟ้อง หย่า กรณี แยก กัน อยู่
#ฟ้องหย่า สมัครใจแยกกันอยู่
#สมัครใจเลิกสัญญา

Facebook Comments