ฟ้องหย่า เพราะมีชู้ ศาลฎีกาวางหลักไว้อย่างไร
การมีชู้ (adultery) หมายถึงการที่หญิงมีสามีสมัครใจร่วมประเวณีกับชายอื่นโดย อวัยวะเพศชายได้ล่วงล้ำเข้าในอวัยวะเพศหญิงมีสามีนั้น ทั้งนี้โดยไม่คำนึงถึงว่าจะได้มีการ สำเร็จความใคร่ด้วยหรือไม่ การที่หญิงมีสามีสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองโดยใช้อวัยวะเพศชาย เทียมไม่เป็นการมีชู้ การที่หญิงมีสามีใช้น้ำเชื้อชายอื่นผสมเทียมโดยสามีมิได้ให้ความยินยอมจน หญิงตั้งครรภ์ก็ไม่เป็นการมีชู้ และการที่ชายอื่นและหญิงมีสามีต่างฝ่ายต่างสำเร็จความใคร่ให้แก่กัน (mutual masturbation) ก็ไม่ถือว่าเป็นการมีชู้เช่นเดียวกัน
แต่เป็นเพียงการประพฤติชั่วที่ จะเป็นเหตุหย่าอีกเหตุหนึ่งที่จะกล่าวในภายหลัง เนื่องจากการมีชู้จะต้องเป็นเรื่องที่ภริยาสมัครใจ ร่วมประเวณีกับชายชู้ จึงก่อให้เกิดความยากลำบากในการพิสูจน์มากเพราะตามปกติไม่มีชาย หญิงคนไหนที่จะทำกันในที่เปิดเผย ย่อมจะต้องแอบทำในที่ลับ แม้จะพิสูจน์ได้ว่าชายหญิง คบหากันในทางชู้สาว ถึงขนาดนี้ศาลยังไม่รับฟังว่าเป็นการทำช้กัน เพราะไม่มีใครเห็นในเวลาที่ ชายหญิงร่วมประเวณีกัน
ภาระการพิสูจน์ในเรื่องนี้จึงมีแนวโน้มไปในทางที่ว่าโจทก์จะต้อง พิสูจน์โดยปราศจากข้อสงสัย (proof beyond reasonable doubt) ว่าจำเลยมีชู้ เช่น พิสูจน์ว่าบุตรที่เกิดมามิใช่บุตรของตนเพราะมีหมู่เลือดอื่น จำเลยชอบพอกับชายอื่นในทำนอง ชู้สาวและนอนค้างคืนอยู่ในห้องเดียวกัน จำเลยไปอยู่ที่สำนักโสเภณี หรือจำเลยตั้งครรภ์ใน ขณะที่โจทก์ไปอยู่ ณ ที่อื่น เป็นต้น ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้ว่า
ในคดีเรื่องชายหาว่าหญิงมี ถ้าพิจารณาได้ความชัดแจ้งแน่แก่ใจไม่ได้แล้ว ต้องตัดสินยกผลประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่หญิง เช่นอย่างเดียวกับเกณฑ์ลงโทษจำเลยในทางอาญาซึ่งต้องปล่อยตัวจำเลยไป() ฉะนั้น ถ้า ข้อเท็จจริงมีเพียงว่าภริยาออกจากบ้านไปค้างที่อื่นครั้งละหลาย ๆ วัน ไปคบชายแปลกหน้า พากันไปในที่ต่าง ๆ จึงยังไม่พอฟังว่าภริยามีชู้ ยังไม่เป็นเหตุหย่า (๒๗) หรือข้อเท็จจริงว่า บ้านจำเลยมีเพียง ๒ ห้อง คือห้องโถงกับห้องนอน สำหรับห้องนอนก็ไม่ปรากฏว่ามีบานประตู สำหรับปิดเปิด คงมีแต่เพียงม่านผ้ากั้นไว้ ขณะนั้นเวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา ห้องโถงยังมีแสง ไฟสว่าง บุตรโจทก์จำเลยทั้งสามคนยังดูโทรทัศน์อยู่ ตอนที่โจทก์กับพวกเข้าไปในบ้านจำเลย
มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
โทร 089-142-7773 ไลน์ไอดี @lawyers.in.th