Home ทั้งหมด ขอชดใช้ค่าเสียหายและออกค่ารักษาพยาบาล ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษหรือไม่

ขอชดใช้ค่าเสียหายและออกค่ารักษาพยาบาล ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษหรือไม่

809

ขอชดใช้ค่าเสียหายและออกค่ารักษาพยาบาล ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษหรือไม่

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90, 291, 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43(4), 157

จำเลยให้การปฏิเสธแล้วถอนคำให้การเดิมให้การใหม่รับสารภาพ

ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนายประสพ มะลิวัลย์ บิดาของเด็กหญิงเยานิตย์ มะลิวัลย์ ผู้ตาย นางอิงอร นิมา มารดาของเด็กหญิงนงลักษณ์ นิมา ผู้เสียหาย และนางเซาฟูน ปิยะพันธ์ุยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43(4), 157 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90จำคุก 4 ปี ปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี ปรับ 10,000 บาทจำเลยได้บรรเทาผลร้ายแห่งการกระทำผิดโดยชดใช้ค่าเสียหายไปบางส่วนและช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้ผู้เสียหาย โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โดยให้จำเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติประจำศาลอาญาทุก 4 เดือนต่อครั้ง มีกำหนด 1 ปี หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับ ให้ลงโทษจำคุกเพียงสถานเดียวโดยไม่รอการลงโทษให้จำเลยและไม่คุมความประพฤตินอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยขับรถกระบะตามฟ้องด้วยความเร็วปกติประมาณ 40 ถึง 60 กิโลเมตร (ต่อชั่วโมง)มีรถจักรยานยนต์พ่วงข้างบรรทุกผู้โดยสารตามฟ้องแล่นสวนทางมาด้วยความเร็วและส่ายไปมาเสียหลักล้ำเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลยจึงเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกันจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดนั้น เห็นว่ากรณีตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า สมควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่เห็นว่า การที่จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงบนถนนที่ลื่นเพราะผิวจราจรเปียกและมีเศษดินตกอยู่ทั่วไปแล้วแซงรถยนต์คันอื่นล้ำเข้าไปในช่องเดินรถสวนชนรถที่แล่นสวนทางมา ถือได้ว่าเป็นการขับรถด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เมื่อเป็นเหตุให้ผู้ขับรถและผู้ที่โดยสารอยู่ในรถที่แล่นสวนทางมาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้รับอันตรายสาหัส 4 คน และถึงแก่ความตายในวันเกิดเหตุ 4 คนโดยที่ผู้ได้รับอันตรายสาหัสรายโจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นกะโหลกศีรษะแตกร้าว มีเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมองและตับแตกจึงสมควรที่จะต้องลงโทษจำเลยในสถานหนักเพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้อื่นสำหรับการที่จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแต่เพียงบางส่วนและช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้ฝ่ายผู้เสียหายและโจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2นั้น พอถือเป็นเหตุปรานีให้รับโทษสถานเบาได้ แต่ไม่อาจถือเป็นเหตุรอการลงโทษให้ได้เพราะไม่อาจชดเชยกับความสูญเสียและความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เกิดแก่บรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บและญาติพี่น้องของผู้ตายและผู้ได้รับบาดเจ็บได้ทั้งเป็นเรื่องที่จำเลยต้องรับผิดในทางแพ่งอยู่แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษให้นั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

สรุป

จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงบนถนนที่ลื่นเพราะผิวจราจรเปียกและมีเศษดินตกอยู่ทั่วไปแล้วแซงรถยนต์คันอื่นล้ำเข้าไปในช่องเดินรถสวนชนรถที่แล่นสวนทางมาเป็นการขับรถด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเมื่อเป็นเหตุให้ผู้ขับและผู้ที่โดยสารอยู่ในรถที่แล่นสวนทางมาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้รับอันตรายสาหัส 4 คน และถึงแก่ความตายในวันเกิดเหตุ 4 คน โดยที่ผู้ได้รับอันตรายสาหัสรายโจทก์ร่วมที่ 2 ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นกะโหลกศีรษะแตกร้าวมีเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมองและตับแตก จึงสมควรที่จะต้องลงโทษจำเลยในสถานหนัก ส่วนการที่จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแต่เพียงบางส่วนและช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้ฝ่ายผู้เสียหายและโจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 นั้น พอถือเป็นเหตุปรานีให้รับโทษสถานเบาได้ แต่ไม่อาจถือเป็นเหตุรอการลงโทษให้ได้เพราะไม่อาจชดเชยกับความสูญเสียและความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เกิดแก่บรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บและญาติพี่น้องของผู้ตายและผู้ได้รับบาดเจ็บได้ ทั้งเป็นเรื่องที่จำเลยต้องรับผิดในทางแพ่งอยู่แล้ว

Facebook Comments