#การเตรียมพยานหลักฐานสู้คดีฉ้อโกง
คดีฉ้อโกงเป็นคดีที่พบได้บ่อยในประเทศไทย จากสถิติคดี เกิดขึ้นมากกว่าปีละ 200,000ครั้ง
โดยผู้เสียหายมักตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพที่หลอกลวงเอาทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ต่างๆ ไป ในการต่อสู้คดีฉ้อโกงนั้น ทนายกฤษดาขอแจ้งให้ทราบว่า การเตรียมพยานหลักฐานที่แน่นหนาและสนับสนุนข้อเท็จจริงของคดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะพยานหลักฐานเป็นสิ่งสำคัญที่ศาลใช้ในการพิจารณาตัดสินคดี
ทนายกฤษดาแนะนำว่า พยานหลักฐานที่อาจนำมาใช้ในการต่อสู้คดีฉ้อโกง ได้แก่
#พยานบุคคล คือ บุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดี เช่น เหยื่อ คู่กรณี พยานในที่เกิดเหตุ เป็นต้น
พยานบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น
* บุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยตรง เช่น บุคคลที่รู้เห็นการหลอกลวง หร่อรับทราบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวโดยตรง เป็นต้น
* บุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคดี เช่น เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้เชี่ยวชาญที่รู้เห็นเรื่องดารฉ้อโกง เป็นต้น
ตัวอย่างพยานบุคคลที่อาจนำมาใช้ในการต่อสู้คดีฉ้อโกง เช่น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกซื้อบ้านที่มีปัญหา
พยานในที่เกิดเหตุ เช่น พนักงานที่บริษัทขายบ้าน เป็นต้น พยานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ตรวจพบปัญหาของบ้าน เป็นต้น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีอยู่จริง
พยานในที่เกิดเหตุ เช่น เพื่อนที่ชวนลงทุน พนักงานที่บริษัทที่หลอกลวง เป็นต้น พยานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ เช่น นักบัญชีที่ตรวจสอบพบว่าบริษัทไม่มีเงินทุนเพียงพอ เป็นต้น
พยานเอกสาร คือ เอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับคดี เช่น สัญญา หลักฐานการโอนเงิน หลักฐานการซื้อขาย เป็นต้น
พยานเอกสารควรเป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมายและสามารถยืนยันข้อเท็จจริงของคดีได้ ตรงนี้ทนายกฤษดา แนะนำว่าสำคัญมาก
#ตัวอย่างพยานเอกสารที่อาจนำมาใช้ในการต่อสู้คดีฉ้อโกง เช่น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกซื้อบ้านที่มีปัญหา เอกสาร เช่น สัญญาซื้อขายบ้าน หลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์บ้าน ใบตรวจสภาพบ้าน เป็นต้น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีอยู่จริง เอกสาร เช่น สัญญาการลงทุน หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีบริษัท เป็นต้น
พยานวัตถุ คือ วัตถุต่างๆ ที่เกี่ยวกับคดี แคปเจอหน้าจอที่หลอก แผนการ แผนประทุษร้าย เช่น ซากสินค้าหรือบริการที่หลอกลวง หลักฐานการถูกหลอกลวง เป็นต้น
พยานวัตถุควรเป็นวัตถุที่เชื่อมโยงกับข้อเท็จจริงของคดีได้
#ตัวอย่างพยานวัตถุที่อาจนำมาใช้ในการต่อสู้คดีฉ้อโกง เช่น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกซื้อบ้านที่มีปัญหา วัตถุ เช่นรูปภาพ ซากบ้าน เอกสารสัญญาซื้อขายบ้าน เป็นต้น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีอยู่จริง วัตถุ เช่น ผลิตภัณฑ์ที่หลอกลวง เอกสารสัญญาการลงทุน เป็นต้น
นอกจากนี้ ผู้เสียหายอาจพิจารณานำหลักฐานทางเทคนิค เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ บันทึกเสียง มาใช้ในการต่อสู้คดีฉ้อโกงได้เช่นกัน
#ในการรวบรวมพยานหลักฐาน ทนายกฤษดาแนะนำว่า ผู้เสียหายควรดำเนินการดังนี้
เก็บรวบรวมหลักฐานไว้ให้ครบถ้วน โดยเก็บรวบรวมหลักฐานตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุฉ้อโกง
ตัวอย่างการเก็บรวบรวมหลักฐาน เช่น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกซื้อบ้านที่มีปัญหา ผู้เสียหายควรเก็บรวบรวมหลักฐานตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุฉ้อโกง เช่น การสนทนาทางไลน์ บันทึกการติดต่อกับบริษัทขายบ้าน เอกสารสัญญาซื้อขายบ้าน ใบตรวจสภาพบ้าน เป็นต้น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่ยืนยันว่าไม่มีอยู่จริง ผู้เสียหายควรเก็บรวบรวมหลักฐานตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุฉ้อโกง เช่น เอกสารสัญญาการลงทุน หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีบริษัท เป็นต้น
ทำไมถึงควรเก็บหลักฐานและทำสำเนาไว้
ทนายกฤษดาขอแนะนำว่า การเก็บรักษาหลักฐานให้ปลอดภัย โดยเก็บหลักฐานไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัยและไม่สามารถสูญหายได้
#ตัวอย่างการเก็บรักษาหลักฐาน เช่น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกซื้อบ้านที่มีปัญหา ผู้เสียหายควรเก็บรักษาหลักฐานไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัย เช่น ตู้เซฟ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีอยู่จริง ผู้เสียหายควรเก็บรักษาหลักฐานไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัย เช่น ตู้เซฟ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
#จัดทำสำเนาหลักฐานไว้
เพื่อป้องกันการสูญหายของหลักฐาน
#ตัวอย่างการทำสำเนาหลักฐาน เช่น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกซื้อบ้านที่มีปัญหา ผู้เสียหายควรจัดทำสำเนาหลักฐานไว้ เช่น สำเนาเอกสารสัญญาซื้อขายบ้าน สำเนาใบตรวจสภาพบ้าน เป็นต้น
* กรณีผู้เสียหายถูกหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีอยู่จริง ผู้เสียหายควรจัดทำสำเนาหลักฐานไว้ เช่น สำเนาเอกสารสัญญาการลงทุน สำเนาหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีบริษัท เป็นต้น
หากผู้เสียหายไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานได้ด้วยตัวเอง อาจขอความช่วยเหลือจากทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายได้ หรือปรึกษาทีมงานทนายกฤษดาได้
ทนายกฤษดา
ทนายกฤษดา ดวงชอุ่ม โทร 089-142-7773